เปิดคำร้องข้อกล่าวหายื่น ป.ป.ช.สอบ "ศักดิ์สยาม" เอื้อพวกพ้อง-ญาติ ไม่ถอนโฉนดรุกเขากระโดง
เปิดคำร้องข้อกล่าวหาฝ่ายค้านยื่น ป.ป.ช. สอบ " ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม เอื้อพวกพ้อง-ญาติ ไม่ถอนโฉนดรุกเขากระโดง ซึ่งเป็นที่ดินของการรถไฟฯ
จากกรณีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทยและนาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ยื่นคำร้องขอให้ป.ป.ช.ไต่สวนและดำเนินคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ซึ่งกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์พวกพ้องและญาติบุกรุกที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ อ.เมืองบุรีรัมย์จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่เศษ
โดยรายละเอียดของคำร้องฯ มีความยาว 14 หน้า โดยกล่าวหาใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ
ประเด็นแรก กล่าวหา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ว่าไม่เพิกถอนโฉนดที่ดิน 2 แปลงของญาติพี่น้อง
ประเด็นที่สอง กล่าวหา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ว่าเอื้อประโยชน์พวกพ้องกรณีไม่เพิกถอนที่ดินที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นที่ดินรถไฟ
สำหรับเรื่องที่ดินการรถไฟเขากระโดง เป็นกรณีที่ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง ได้เคยหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม รมว. คมนาคม
และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยมีมติไปแล้วโดยประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ในขณะนั้น) ได้มีหนังสือ ถึงผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 14 กันยายน 2554 เรื่องให้ดำเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ ของโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 (นายชัย ชิดชอบ เป็นผู้ขอออกโฉนด)
และโฉนดเลขที่ 8564( นางกรุณา ชิดชอบ ) ถือกรรมสิทธิ์ ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ออกทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติว่า “ การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 เป็นการออกโฉนดในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน จึงเป็นการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ให้แจ้งกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 99” จนถึงปัจจุบันก็ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของการรถไฟแต่ประการใด
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2560 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาที่ 842-876/2560 คดีระหว่างราษฎรจำนวน 35 รายเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นจำเลยที่ 1และ กรมที่ดินเป็นจำเลยที่ 2 เพื่อขอออกโฉนดที่ดิน
ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทในพื้นที่ “เขากระโดง”ตามแผนที่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของการรถไฟ พิพากษาให้ขับไล่ รื้อถอน และให้ราษฎรชดใช้ค่าเสียหายให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 ศาลฎีกามีคำพิพากษา ที่ 8027/ 2561 คดีซึ่งนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟฯเป็นจำเลยเพื่อรังวัดขอออกโฉนดที่ดินที่ซื้อมาจากนายชัย ชิดชอบ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ข เลขที่ 200 อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ 24ไร่ 4 ตารางวา ซึ่งการรถไฟ ทำหนังสือคัดค้านและต่อสู้คดีอ้างว่าที่ดินที่ขอออกโฉนดเป็นที่ดินของการรถไฟฯทั้งแปลง ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯเช่นเดียวกัน
คำร้องระบุกล่าวหาว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10กรกฎาคม 2562 กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติสั่งการให้ผู้ว่าการรถไฟฯดำเนินการฟ้อง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง บังคับคดีขับไล่ผู้บุกรุกครอบครองที่ดินอันเป็นที่สงวนหวงห้ามตามที่เคยฟ้องร้องก่อนที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เข้ารับตำแหน่งแต่อย่างใด
เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาถึงที่สุด และมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดังกล่าวที่ได้เคยชี้มูลจนเสร็จสิ้นยุติเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ
การที่สนามกีฬาช้างอารีน่า ,บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ฯ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ และพวกพ้องได้บุกรุกครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ของการรถไฟโดยผิดกฎหมาย
นายศักดิ์สยาม เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 10กรกฎาคม 2562จนถึงขณะวันที่มีการตอบชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รู้ข้อเท็จจริงการกระทำความผิดโดยสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้นจึงถือว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จงใจบริหารราชการแผ่นดิน ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตต่อหน้าที่ และปล่อยปละละเลย สมคบกันเพื่อปิดบังการทุจริต ไม่ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
โดยเฉพาะ “ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเองและผู้อื่น และเข้าข่ายกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ"