ไล่ออก ครูจีนจับเด็กกว่า 10 คนถ่ายคลิปประจาน เหตุเพราะ "ไม่บริจาคเงิน" | คมชัดลึก

การบริจาคไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของน้อยใหญ่ล้วนต้องมาจากความสบายใจของผู้ให้ ที่ผ่านมาไม่เพียงแต่สังคมไทยเท่านั้นที่เกิดดราม่าเกี่ยวกับการขอรับบริจาค แต่ในจีนก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่แพ้กัน เมื่อเด็กจีนกว่า 17 คนในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ถูกครูทำโทษด้วยการยืนเรียงหน้าชั้นเรียน พร้อมถ่ายคลิปประจานฟ้องผู้ปกครอง เหตุเพียงเพราะ "ไม่ได้บริจาคเงิน"

 

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนาน ซึ่งครูรายนี้ตั้งใจจัดกิจกรรมบริจาคเงิน จุดประสงค์เพื่อสอนให้เด็กๆรู้จักการให้ จึงสั่งให้นักเรียนเตรียมเงินมาบริจาคคนละ 6 หยวน (ประมาณ 30 บาท) และบอกผู้ปกครองให้ช่วยสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว แต่วันรุ่งขึ้นกลับพบว่ามีนักเรียน 17 คนลืมบอกผู้ปกครองและไม่ได้นำเงินมา ครูจึงลงโทษนักเรียนเหล่านั้นด้วยการให้ยืนหน้าห้องเรียนแล้วถ่ายคลิปลงในกรุ๊ปวีแชทผู้ปกครอง

ภายในคลิปกล้องได้แพลนให้เห็นหน้าเด็กๆ พร้อมกับเสียงครูพูดว่า "นักเรียนกลุ่มนี้ไม่ได้นำเงินบริจาคมาวันนี้ ดังนั้นขอให้ผู้ปกครองช่วยสนับสนุนด้วย และวันนี้กิจกรรมนี้ต้องสำเร็จ"

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ด้านผู้ปกครองต่างรู้สึกโกรธอย่างมากเมื่อเห็นลูกๆของเขาในวิดีโอนั้น ทั้งนี้ผู้ปกครองบางคนก็บริจาคเงินให้ครูภายหลังเพราะรู้สึกอับอาย

ส่วนชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงวิธีการลงโทษของครูที่เหมือนกับกำลังจับเด็กเรียกค่าไถ่ และมองว่าการให้นั้นควรเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่การขูดรีด และการบริจาคก็ควรเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องมาบังคับให้ทำ

 

 

 

ภายหลังครูรายนี้ก็ได้ออกมาอธิบายว่า ที่ถ่ายคลิปนี้ส่งให้ผู้ปกครองไม่ใช่การลงโทษเด็กๆ แต่เพียงเพราะอยากให้ผู้ปกครองสนับสนุนกิจกรรมเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นการสอนคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กๆเช่นกัน และหวังว่าผู้ปกครองจะเข้าใจ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบแล้วพบว่า การรับบริจาคดังกล่าวเริ่มต้นโดยมูลนิธิการศึกษาเขตหย่งซุ่น ซึ่งเงินที่ระดมทุนได้นั้นจะนำไปใช้เพื่อเป็นรางวัลให้กับครู นักเรียน หรือเจ้าหน้าด้านการศึกษาดีเด่น และนำไปช่วยเหลือครูและนักเรียนที่มีปัญหา รวมทั้งนำไปการพัฒนากิจกรรมการกุศลต่างๆ ซึ่งขณะนี้ครูรายนี้ก็ได้ถูกลงโทษทางวินัยและถูกไล่ออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนครูใหญ่ของโรงเรียนก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน

 

 

ที่มา Jeenthainews - จีนไทยนิวส์ / sohu.com / 163.com