ข่าว

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

02 มิ.ย. 2564

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตรมณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคมและญาติ ไม่ได้ตั้งใจหนีแค่ตกใจเลยหนีไปตั้งหลักที่บ้าน

วันที่ 2 มิถุนายน 2564 เวลา 13.30 น. สืบเนื่องจากเหตุการณ์รถกระบะพุ่งชนพระจรัญ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นพระลูกวัดของวัดสน บริเวณปากซอยสุขสวัสดิ์ 35 เเขวง และเขตราษฎร์บูรณะ กทม. ในช่วงเวลา 6.30 น. ที่ผ่านมาของวันนี้ ( วันที่ 2 มิ.ย. 2564 ) เป็นเหตุให้พระจรัญ มรณะภาพภายในที่เกิดเหตุทันที แล้วกระบะคู่กรณีคันดังกล่าวก็ขับหนีไปอย่างรวดเร็วโดยมีกล้องวงจรปิดบริเวณปากซอยสุขสวัสดิ์ 35 บันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ได้อย่างชัดเจน ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. ผู้ขับขี่รถกระบะคันดังกล่าวได้เข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ โดยได้ขับขี่รถกระบะ มิตซูบิชิ ไทตั้น สีดำ ทะเบียน บม 7995 พิษณุโลก ในสภาพกระจังหน้ารถแตกเสียหาย กระโปรงหน้ารถยุบตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน และกระจกหน้าแตกร้าว ทราบชื่อผู้ขับขี่ต่อมาชื่อ นาย สำราญ อายุ 43 ปี เป็นพนักงานขับรถยก ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.27 น. ของวันนี้ ( 2 มิ.ย. 2564 ) ตนเองได้ขับรถกลับจากไปธุระที่พระราม 2 กำลังมุ่งหน้าจะกลับบ้านที่สุขสวัสดิ์ 78 ในตอนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวตนไม่เห็นว่ามีคนเดินข้ามถนน เพราะตอนนั้นมีรถเมล์บังอยู่ และตรงบริเวณจุดดังกล่าวค่อนข้างจะมืด พอมาเห็นอีกทีก็ชนแล้ว และในช่วงเวลาตอนนั้นตนรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงรีบขับรถกลับไปสงบสติอารมณ์ที่บ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วตนได้นั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตนก็รู้สึกผิดและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงเดินทางมามอบตัวต่อเจ้าพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง โดยไม่มีใครบอกให้มามอบตัว ตนสำนึกผิดเอง แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตนเองรู้สึกเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิต และต้องขอโทษต่อสังคม และญาติของผู้เสียชีวิตด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆตนเองไม่ได้ตั้งใจที่จะชน แล้วตนเองก็ไม่ได้คิดจะหนีแต่ตอนนั้นตกใจเลยทำอะไรไม่ถูกจึงกลับบ้านไปตั้งสติก่อน จึงขอความเห็นใจและขอให้สังคม ให้อภัยตนด้วย

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
กระบะซิ่งชน หลวงตาวัย 70 ปี ขณะเดินบิณฑบาตร มรณภาพกลางถนน

ส่วนทางด้าน นาย เฉลิม  อายุ 47 ปี เป็นลูกชายของพระจรัญ กล่าวว่า ตนเองทราบข่าวการเสียชีวิตจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อไปเรียกที่บ้าน ตนเองจึงรีบมาดูที่เกิดเหตุก็พบว่าหลวงพ่อเสียชีวิตภายในที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนตนเองก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านมีโรคประจำตัวหลายอย่างการเดินของท่านก็จะไม่ค่อยแข็งแรงจะปวดบริเวณหัวเข่าเป็นประจำจึงเป็นเหตุให้ท่านขึ้นสะพานลอยไม่ไหว แต่ท่านก็จะข้ามถนนตรงบริเวณนี้มานานแล้วก็ไม่เคยที่จะโดนรถชน มีวันนี้ที่มาโดนรถชน แล้วคนขับรถกระบะทีแรกเขาก็ขับหนีไปก็คงจะตกใจ แล้วเขาก็กลับมามอบตัวแล้ว เราก็ได้พูดคุยกันแล้วเขาก็มาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก็ต้องให้อภัยเขาเพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับมาได้แล้ว ส่วนทางด้านน้องสาวของนายเฉลิม ชื่อ นางสาว อังคณา  อายุ 28 ปี กล่าวทั้งน้ำตา ว่าตนเองยังทำใจไม่ได้ต่อการสูญเสียครั้งนี้ และยังคงไม่ให้อภัยกับคนขับรถกระบะ ดังกล่าวยังคงติดใจตรงที่ชนแล้วขับหนีไปโดยไปเบรครถลงมาช่วยเหลือเบื้องต้น หรือลงมาดูหลวงพ่อเลย ส่วนเรื่องของคดีความทางตำรวจบอกว่าต้องรอให้เสร็จสิ้นจากงานศพของหลวงพ่อไปก่อนถึงจะนัดคู่กรณีทั้งหมดมาพูดคุยตกลงกันอีกครั้ง แล้วจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายกับคนขับรถกระบะคันดังกล่าว

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

ส่วนทางด้านพระชัยรัตน์  อายุ 59 ปี เป็นพระลูกวัดเดียวกันกับ พระจรัญ กล่าวว่าอาตมารู้จักกับพระจรัญ มานานแล้วอยู่ห้องใกล้ๆกัน ปกติท่านเป็นคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วท่านอายุมากแล้ว เป็นโรคหัวใจเพิ่งจะไปทำบายพาทหัวใจมา และเป็นโรคความดันเบาหวาน แล้วเป็นเก๊าด้วยเวลาที่จะเดินเหินก็ปวดขาเป็นประจำ ก็เลยขึ้นสะพานลอยไม่ไหว พอมาทราบข่าวว่าหลวงพี่จรัญโดนรถชนเสียชีวิตก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครเป็นคนเงียบๆ และเป็นพระที่ปฏิบัติดีมาโดยตลอด

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

คนขับกระบะชนพระออกบิณฑบาตมรณภาพ ย่องมอบตัวพร้อมขอโทษต่อสังคม

ข่าวโดย..ชุติเดช ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว คมชัดลึก. กทม.