ข่าว

ตรวจของกลางเครือข่ายค้า"ปืนเถื่อนออนไลน์" อึ้ง พบปืนหลวง 18 กระบอก นครบาลเยอะสุด

ตรวจของกลางเครือข่ายค้า"ปืนเถื่อนออนไลน์" อึ้ง พบปืนหลวง 18 กระบอก นครบาลเยอะสุด

14 มิ.ย. 2564

ตรวจของกลางเครือข่ายค้า"ปืนเถื่อนออนไลน์" อึ้ง พบปืนหลวง 18 กระบอก นครบาลเยอะสุด ตามด้วยภาค 7 ตั้งกรรมการตรวจสอบ โทษหนักถึงขั้นให้ออกจากราชการ

จากกรณีตำรวจกองปราบปรามนำกำลังเปิดปฏิบัติการบุกทลายเครือข่ายค้าปืนเถื่อนออนไลน์ ในพื้นที่ ในพื้นที่ กทม. จ.สมุทรปราการ จ.ราชบุรี จ.สงขลา จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาสำคัญขบวนการดังกล่าวได้หลายราย พร้อมกับตรวจยึดอาวุธปืนของกลาง ประกอบด้วย ปืนอาวุธสงคราม ปืนสั้น และปืนยาว รวม 154 กระบอก ระเบิดจำนวน 14 ลูก และเครื่องกระสุนนับพันนัด ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปแล้วนั้น


อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
กองปราบฯลุยค้น 15 จุด ทลายเครือข่ายค้าอาวุธ"ปืนออนไลน์"

ความคืบหน้าคดีดังกล่าวล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังการจับกุมดังกล่าว ได้มีการนำอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้ทั้งหมดส่งต่อไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน หรือ พฐ. เพื่อทำการตรวจสอบว่าปืนทั้งหมดเคยนำไปใช้ก่อคดีใดมาบ้าง และมีที่มาที่ไปอย่างไร จนพบว่าในจำนวนอาวุธปืนของกลางกว่าร้อยกระบอกนั้น พบมีปืนสั้นยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสัน ซิกซาวเออร์ และ กล็อก จำนวนรวม 18 กระบอก มีสัญลักษณ์ตราโล่ห์ ติดอยู่ จึงตรวจสอบที่ไปที่มาอย่างละเอียดกระทั่งทราบว่าเป็นปืนหลวงที่เจ้าหน้าที่เบิกออกมาใช้งานราชการ โดยจำแนกเป็นปืนที่เบิกมาจากคลังสังกัด สถานีตำรวจนครบาลบางเสาธง 1 กระบอก สถานีตำรวจนครบาลธรรมศาสา 5 กระบอก สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง 5 กระบอก กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม 2 กระบอก สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 2 กระบอก สถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร 1 กระบอก สถานีตำรวจภูธรโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร 1 กระบอก และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีกกระบอก 
     

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากแนวทางสืบสวนเชื่อว่าการที่ปืนหลวงเหล่านี้มาอยู่ในความครอบครองของเครือข่ายค้าอาวุธปืนเถื่อนออนไลน์ น่าจะเกิดจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายแอบนำปืนหลวงที่เบิกออกมาเพื่อใช้สำหรับปฏิบัติราชการไปจำนำกับนายทุนรับจำนำปืนที่อยู่ในเครือข่ายปืนเถื่อนดังกล่าวเป็นการชั่วคราว แต่เครือข่ายดังกล่าวเกิดถูกตำรวจกองปราบบุกทลายจับกุมตรวจยึดได้เสียก่อนที่จะไปไถ่กลับคืนมา อย่างไรก็ตามภายหลังเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นมาเบื้องต้นทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลและกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 หน่วยงานต้นสังกัดได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทำผิดดังกล่าวจริงอาจถูกลงโทษสถานหนักถึงขั้นให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นการกระทำทำผิดวินัยร้ายแรง