ข่าว

'หมอธีระ' หวั่น "โควิด-19" ระลอกนี้ "ล็อกดาวน์" ระยะสั้นอาจไม่ได้ผล อนาคตอาจปิด รพ.

'หมอธีระ' หวั่น "โควิด-19" ระลอกนี้ "ล็อกดาวน์" ระยะสั้นอาจไม่ได้ผล อนาคตอาจปิด รพ.

07 ก.ค. 2564

'หมอธีระ' หวั่น "โควิด-19" ระลอกนี้ "ล็อกดาวน์" ระยะสั้นอาจไม่ได้ผล อนาคตอาจปิด รพ. หากมีการระบาดในสถานพยาบาล

'หมอธีระ' รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์สถานการณ์ "โควิด-19" ในบ้านเราที่ยังไม่มีแนวโน้มจะควบคุมสถานการณ์ได้ หวั่นการ "ล็อกดาวน์" ระยะสั้นอาจไม่ได้ผลและสิ่งที่ต้องระวังต่อจากนี้คือการระบาดในสถานพยาบาล

 

โดย 'หมอธีระ' ระบุว่า การระบาดยังเป็นระลอก 3 อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมษายนเป็นต้นมา ลักษณะการแพร่เชื้อนั้นมีจำนวนมากที่หาต้นตอที่มาได้ยาก เพราะมีการระบาดกระจายไปทั่วในชุมชน และเรื้อรังมานาน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้ตั้งแต่ระลอก 2 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

 

ดังที่เคยเล่าให้ฟังไปหลายครั้งว่า ธรรมชาติของโรคระบาดนั้นจะมีระยะหลักๆ ดังนี้

 

  • ระยะที่ 1 : พื้นที่หรือประเทศไม่มีคนติดเชื้อ แต่มีการนำพาเชื้อจากนอกพื้นที่ หรือ นอกประเทศเข้ามา

 

  • ระยะที่ 2 : เริ่มมีการติดเชื้อภายในพื้นที่ เพราะคนติดเชื้อจากนอกพื้นที่ได้แพร่ให้แก่คนในพื้นที่

 

  • ระยะที่ 3 : คนในพื้นที่/ประเทศมีการติดเชื้อและแพร่ให้แก่กัน

 

ถ้าเข้าใจหลักการข้างต้น เราจึงสามารถนำมาวิเคราะห์นโยบายและมาตรการต่างๆ ได้ว่าถูกต้องหรือเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ หากเป็นระยะที่ 1 มาตรการที่เหมาะสมย่อมเป็นการที่ต้องรีบปิดกั้นไม่ให้เกิดการนำพาเข้ามา

 

ระยะที่ 2 ต้องรีบทำการป้องกันไม่ให้เกิดการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ทั้งด้วยพฤติกรรมป้องกันตัวของกลุ่มที่เสี่ยงต่อการสัมผัส (personal protection) การมีระบบตรวจคัดกรองที่ดีและมีศักยภาพเพียงพอเพื่อทำการตรวจและติดตามผู้ติดเชื้อเพื่อนำไปกักตัวและดูแลรักษา (early diagnosis, isolation, and early treatment) ในขณะที่ต้องเร่งหาผู้สัมผัสความเสี่ยงไปแยกสังเกตอาการ (quarantine)

 

ส่วนระยะที่ 3 พอมาถึงจุดที่เกิดการแพร่เชื้อกันระหว่างคนในพื้นที่หรือคนในประเทศแล้ว มักจะเกิดการแพร่วงกว้าง ยากต่อการจัดการ เพราะทุกๆ คนในพื้นที่ย่อมมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ มาตรการที่ต้องทำจึงประกอบด้วยหลายอย่างที่ต้องทำอย่างเข้มข้นและทันเวลา ได้แก่

 

  • การทำให้ทุกคนอยู่กับที่เพื่อหยุดการพบปะติดต่อกัน (limit population mobility)

 

  • การเร่งตรวจคัดกรองให้มากต่อเนื่องและครอบคลุม (mass screening)

 

  • การแยกคนที่สงสัยหรือสัมผัสความเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการและตรวจ (quarantine)

 

  • การนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา (isolation and treatment)

 

นอกจากนี้หากมีอาวุธป้องกันอย่างวัคซีน ก็ต้องจัดหาวัคซีนที่ดีจริง ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยเข้ามาให้แก่ประชาชน โดยทุกมาตรการข้างต้นยังต้องมีนโยบายและมาตรการที่ต้องปิดกั้นไม่รับหรือไม่นำความเสี่ยงเพิ่มเข้ามาในพื้นที่ด้วย

 

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ คงพอวิเคราะห์กันต่อได้ว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายปี เราเจอการระบาดกระจายไปทั่ว หาต้นตอได้ยาก และมีการติดเชื้อจำนวนมากอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเจอการระบาดตามธรรมชาติของโรคในระยะที่ 3

 

 

แต่นโยบายและมาตรการที่มีมานั้น ไม่ได้ตัดสินใจทำอย่างเพียงพอ ทั้งเรื่องการหยุดการพบปะติดต่อกัน ระบบการตรวจคัดกรองก็มีจำกัดจำเขี่ย ระบบดูแลรักษาก็มีจำกัดไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงเรื่องวัคซีนที่มีปัญหาทั้งเรื่องปริมาณและประสิทธิภาพที่จำกัด และยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั้งๆ ที่สถานการณ์ระบาดยังรุนแรง ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่เหมาะสม

 

ปัจจุบัน การระบาดของไทยเราจึงยังเป็นระลอกสามที่คุมไม่ได้ ดังที่เห็นจากกราฟการระบาดในแต่ละวัน จะเรียกระลอกสี่ได้นั้น ระลอกสามต้องกดลงมาให้ได้คงที่ระยะหนึ่งเสียก่อน แต่ที่เราเป็นมานั้นคือ สาหัสคงที่มาหลายเดือนและปะทุเป็นระยะ แบบ Table mountain with big volcanoes on top

 

สิ่งที่ต้องระวังต่อจากนี้ หากศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ

 

  1. การระบาดในสถานพยาบาลจะรุนแรงขึ้น จนอาจต้องมีการปิดวอร์ด ปิดโรงพยาบาล
  2. จำนวนการเสียชีวิตจะสูงขึ้นมาก จะแตะหลักร้อย หากระบบมีเคสสะสมหลักหมื่นปลายๆ ถึงหลักแสน
  3. การตัดสินใจล็อกดาวน์ในระยะระบาดรุนแรงมานานเช่นนี้ ให้เผื่อใจไว้ล่วงหน้าเลยว่า การล็อกดาวน์ระยะสั้นจะไม่ได้ผลอีกต่อไป แต่จะใช้เวลายาวนานขึ้นระดับหลักเดือนถึงหลายเดือน เพราะตัดสินใจช้าเกินไป เลยช่วงเวลาทองซึ่งมักต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมภายใน 2-4 สัปดาห์แรกของการระบาด
  4. อาจเกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เศรษฐกิจสังคม จะมีมากมายกว่าที่เคยเป็นมา เพราะแรงกายแรงใจและทรัพยากรร่อยหรอมาก ดังนั้นระบบสวัสดิการสังคมต้องวางแผนรับมือให้ดี และอาจต้องมีการปรับนโยบายการใช้จ่ายของประเทศ เน้นเรื่องการรัดเข็มขัด
  5. สำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นกับศักยภาพของระบบการตรวจคัดกรองโรค ต้องทำได้มากกว่าที่เป็นอยู๋ในปัจจุบัน

 

ขอบคุณเฟซบุ๊ก หมอธีระ

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอธีระ' ชี้ 6 ปัจจัยทำ "โควิด" ระบาดควบคุมไม่ได้ แนะ ศบค.มองภาพความจริง ปรับแผนด่วน

เปิดตัวเลข "โควิด" เดือน ก.ค. แค่ 7 วันผู้ป่วยพุ่งเกิน 4 หมื่นคร่าชีวิต ปชช.เฉียด 400

แพทย์นิติเวช เผย "โควิด" กทม.หนักหน่วง ตัวเลขจริงเยอะกว่านี้มาก ชันสูตรศพติดโควิดเพียบ

"โควิดวันนี้" ตัวเลขผู้ป่วยทุบสถิติใหม่ เศร้า เสียชีวิตรวมแล้ว 2,387 ราย

สาเหตุ ทำไมถึงหาที่ "ตรวจโควิด" ยากมาก อัปเดตจุดตรวจเชิงรุก กทม.ฟรี (6 ก.ค.2564)