นักไวรัสวิทยา เผยผลวิจัยสหรัฐฯ วัคซีน"โมเดอร์นา" ชนะ "ไฟเซอร์" เมื่อต้องสู้กับเดลตา
นักไวรัสวิทยา เผยผลวิจัยสหรัฐฯพบ วัคซีน"โมเดอร์นา" ชนะ "ไฟเซอร์" เมื่อต้องสู้กับไวรัส"เดลตา" แบบฉิวเฉียด
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) โพสต์เฟซบุ๊ค ถึงงานวิจัยของสหรัฐอเมริกา กับข้อมูลคนที่ได้รับวัคซีน Pfizer กับ Moderna : เมื่อสู้กับเดลตา ใครชนะ ว่า งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ของทีมวิจัยในรัฐ Minnesota สหรัฐอเมริกา เก็บข้อมูลคนที่ได้รับวัคซีน Pfizer และ Moderna เปรียบเทียบดูประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิด ในช่วงเวลาที่มีการระบาดของไวรัสโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2563 จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของไวรัสแอลฟา และ เดลตา ที่มีสัดส่วนที่แตกต่างกัน ในแต่ละช่วงที่เก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่เก็บข้อมูลอยู่ที่ 25,896 คน ในแต่ละกลุ่มรวมทั้งกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนด้วย
ตัวเลขประสิทธิภาพโดยรวมของวัคซีนทั้งสองยี่ห้อถือว่าสูง แต่ถ้าให้เปรียบเทียบกันแบบตัวต่อตัว คะแนนที่ออกมาคือ "Moderna เป็นฝ่ายชนะ" ภาพจำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่มีอาการโควิดในกลุ่มที่ฉีด Pfizer (เส้นสีน้ำเงิน) ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับ Moderna (เส้นสีส้ม) ในช่วง 70 วัน หลังจากได้วัคซีนครบ 2 เข็ม และ หลังจากนั้นกราฟของ Pfizer จะเริ่มแยกออกจาก Moderna อย่างเห็นค่อนข้างชัด เมื่อดูค่าประสิทธิผลรายเดือนจะเห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนทั้งสองชนิด จะเริ่มตกลงที่เดือนมิถุนายนทั้งคู่ โดยเดือนกรกฎาคม ค่าของ Pfizer จะอยู่ที่ 42% ขณะที่ Moderna อยู่ที่ 76% ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการระบาดของเดลตามากกว่า 70% ในรัฐนั้น
ตัวเลขเปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยมีอาการ จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลสำหรับ Moderna ดูดีกว่า Pfizer เช่นกัน โดยสองกลุ่มมีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมากขึ้นช่วงที่เดลตาระบาดทั้งคู่ คนที่ได้ Pfizer มีประมาณ 25% ขณะที่ Moderna มีประมาณ 20% ซึ่งเห็นค่อนข้างชัดว่า จากช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้นหลังฉีด บวกกับ ไวรัสเดลตา สามารถพบคนที่ติดเชื้อ และมีอาการได้มากขึ้นกว่าการระบาดช่วงแรก ๆ อย่างค่อนข้างชัดเจน