อาสาสมัครรีวิวฉีด "ChulaCov19" วัคซีน mRNA ตัวแรกของไทย เผยเทียบ "ไฟเซอร์-โมเดอร์นา"
อาสาสมัครเล่าประสบการณ์ หลังฉีด "ChulaCov19" วัคซีน mRNA ตัวแรกของไทย เผยเทียบ "ไฟเซอร์" และ "โมเดอร์นา"
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์เล่าประสบการณ์ตรง หลังอาสาสมัครฉีดวัคซีนโควิดสัญชาติไทย "ChulaCov19" ที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รับอาสาสมัคร "วัคซีนโควิด" ChulaCov19 mRNA ด่วน
- เต็มแล้ว จุฬาฯปิดรับอาสาสมัครฉีดวัคซีน "ChulaCov19" เตรียมฉีดปลายเดือน ส.ค.นี้
- ยังน่าห่วง "สมุทรปราการ" วันเดียวติดเชื้อพุ่ง 1,736 ราย เสียชีวิตอีก 12
โดยผู้โพสต์ระบุว่า ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า ทางโครงการวิจัยไม่ได้มีการเปิดเผยเลขภูมิคุ้มกันของวัคซีน "ChulaCov19" แก่อาสาสมัคร เพียงแต่บอกได้ว่ามันดีมาก ดังนั้นนี่จะเป็นการรีวิวและอธิบายจากประสบการณ์จริง เมื่อที่บ้านและออฟฟิศของผม ติดโควิดเกือบยกครัว แต่ "ผม" เป็นคนเดียวที่ไม่ติด พร้อมกับระบุเป็นข้อ ๆ ว่า
1. วัคซีน ChulaCov19 ถูกพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
2. วัคซีน ChulaCov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่มีพัฒนาและวิจัยต่อยอดจาก Moderna ดังนั้นประสิทธิภาพที่ออกมาจึงมั่นใจได้ว่าเทียบเท่า Pfizer และ Moderna หรืออาจจะดีกว่าสำหรับการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้า เพราะกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อไปหลังจากทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มแรก
3. ผมได้รับวัคซีนขนาด 25 ไมโครกรัม (ใช้น้อยกว่า Pfizer) จำนวน 2 โดส ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์
4. อาการและผลข้างเคียง
- โดสแรก วันที่ 24 มิ.ย. 64 - มีอาการปวดหัวและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ต่อเนื่องราว ๆ 2-3 วัน ไม่มีไข้ และยังทำงานได้ปกติ
- โดสสอง วันที่ 15 ก.ค. 64 - ปวดหัวหนักกว่าโดสแรก หลังจากฉีด 2 ชั่วโมง และถึงขั้นซมหลังฉีด 6 ชั่วโมง มีไข้หรือตัวรุม ๆ แต่ไข้ไม่สูง ปวดหัวตลอดทั้งคืน กว่าจะทุเลาลงก็คือวันที่สอง ซึ่งนอนซม รบกวนการทำงานแน่นอน หลังจากนั้นไข้หายใน 2 วัน ส่วนอาการปวดหัวจะต่อเนื่องไปร่วม 3-4 วันเลยทีเดียว
5. หลังจากฉีดวัคซีนครบ 2 โดสได้ราวหนึ่งสัปดาห์ พ่อของผมเริ่มมีอาการป่วย ปวดหัว ไอ ส่วนพนักงานที่ออฟฟิศไปตรวจโควิด Rapid Antigen Test ผลปรากฏว่าติดโควิด จึงมีการตรวจกันทั้งบ้าน
ผลลัพธ์ : พนักงานออฟฟิศติด 2 คน ไม่ติด 1 (ซึ่งคนที่บ้านของพนักงานติดเกือบยกครอบครัว) และพ่อของผม
6. เพื่อความแน่ใจ ทางโครงการวิจัยได้นัดให้ผมไปตรวจ RT-PCR อีกรอบ เพราะผมกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดผู้ป่วย ซึ่งผลออกมาว่า ผมไม่มีเชื้อโควิดจริง ๆ
7. คุณพ่อมีอาการหนักสุด ส่วนพนักงานแทบไม่มีอาการ ได้ทำการรักษาตามอาการแบบ Home Isolation แยกบ้านกันอยู่
8. เหตุการณ์เหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ อยู่ ๆ อาการคุณพ่อก็ทรุดหนัก ไข้ขึ้นสูง SpO2 ลดลงต่อเนื่อง จาก 95 เหลือ 92 ในตอนเย็น และเหลือ 89 ในตอนกลางคืน ไม่ค่อยมีสติและลำบากในการสื่อสาร
9. ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาโรงพยาบาลด่วน ซึ่งอย่างที่ทุกคนทราบคือ ทุกที่เตียงเต็ม แต่โชคดีที่ติดต่อโรงพยาบาลสมุทรสาครได้ ถึงกระนั้นโรงพยาบาลก็ไม่มีรถฉุกเฉิน จำเป็นที่เราจะต้องขับรถไปเอง
วันนั้น (29 ก.ค.) หลังจากเพิ่งตรวจ RT-PCR ในวันเดียวกัน ผมต้องใกล้ชิดคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยอีกครั้ง ครั้งนี้มีการสัมผัสและใกล้ชิดมาก แต่ด้วยความจำเป็นต้องพาไปโรงพยาบาลจึงไม่มีทางเลือก (อุปกรณ์ป้องกันมีเพียง หน้ากากอนามัยสองชั้น, face shield และถุงมือยาง)
10. พ่อของผมโชคดีที่ห้อง ER มีเตียงว่าง ได้รับการรักษาและรับยาฟาวิพิราเวียร์ทันที แม้จะยังไม่เคยตรวจ PCR มาก่อน ก่อนจะได้แอดมิทที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร แม้จะเป็นผู้ป่วยนอก ซึ่งปัจจุบันอาการดีขึ้นมากแล้ว ย้ายไปโรงพยาบาลสนาม และใกล้จะได้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน
11. ส่วนตัวผมเองยังมีนัดต้องไปเจาะเลือดเก็บตัวอย่างกับทางโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อวัดภูมิวัคซีนหลังฉีด 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากผมสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงประมาณ 12 วัน ไม่ได้มีอาการอะไร จึงได้ทำการ Rapid Antigen Test อีกครั้ง และผลก็ออกมาบอกว่า ผมไม่มีเชื้อ
อย่างที่เห็นก็คือว่า ผมผ่านการเสี่ยงติดเชื้อมาแล้วถึง 3 ครั้ง และตรวจ 3 รอบ
ครั้งที่ 1 คือการทำงานในออฟฟิศ อยู่กับผู้ที่ติดเชื้อโควิด ในช่วงที่เชื้อกำลังฟักตัวและไม่มีอาการ
ครั้งที่ 2 หลังจากคนรอบข้างอาการเริ่มออก ผลตรวจออกมา เริ่มมีการให้พนักงาน WFH แต่ก่อนหน้านั้นผมเองยังคงต้องขับรถร่วมโดยสารกับผู้ที่ติดเชื้อทุกวัน
ครั้งที่ 3 กลับมาสัมผัสผู้ป่วยโควิดโดยตรงอีกครั้ง หลังจาก distancing กันมานานสัปดาห์นึง
ด้วยผลทดสอบนี้ น่าจะบ่งบอกได้ดีถึงประสิทธิภาพของวัคซีน mRNA ได้ดีในระดับนึง และเป็นเหตุผลว่า ทำไมวัคซีน ChulaCov19 น่าจะเป็นวัคซีนตัวความหวังของคนไทย
สำหรับคำถามว่า "คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนตัวนี้เมื่อใด" คำตอบก็คือ กว่าจะวิจัยพัฒนาและทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มสอง กลุ่มสามเสร็จ น่าจะช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2565 เลยครับ ถึงกระนั้น ถ้ามันฉุกเฉินจริง ๆ ไม่แน่ว่า อาจจะมีการใช้วัคซีนตัวนี้เป็น เข็ม 3 ในช่วงปลายปี
และที่สำคัญที่สุด ถึงแม้จะได้วัคซีนที่ดีแล้ว ยังไงการ social distancing ก็ยังสำคัญ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับสหรัฐฯ ตอนนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค
ขอบคุณ Sukrit Terapanyarat