ศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง “บิ๊กโจ๊ก” ฟ้อง นายกฯ ปมสั่งย้ายเข้ากรุ
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกฟ้องคดี" บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีไม่พิจารณาดำเนินการให้ "บิ๊กโจ๊ก"กลับ สตช. เมื่อครั้งโดนสั่งย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือน
ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาในคดีที่พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาลหรือบิ๊กโจ๊ก หรือผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง
และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นักบริหารระดับสูง)
ต่อมาขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 จำนวน 2 ฉบับ
ฉบับแรกทำถึงนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อขอให้ทบทวนและมีคำสั่งใหม่ให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และฉบับที่สองทำถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอให้พิจารณาเสนอนายกฯ มีคำสั่งให้ บิิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ทั้งนายก ฯ และปลัดไม่ได้พิจารณา จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาล
ศาลพิจารณาแล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยรวมสองประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่
ศาลฯ เห็นว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) เป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
ซึ่งงานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีลักษณะงานเทียบเท่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
แต่งานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) มีเพียงเล็ก
น้อย ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ฟ้องคดีเมื่อเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
ตลอดจนในขณะที่ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการปฏิรูปราชการแผ่นดินแล้วกำหนดตำแหน่งหน้าที่อื่นให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่อย่างใด
อีกทั้งขณะที่ผู้ฟ้องคดีรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ผู้ฟ้องคดีไม่ได้อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรืออยู่ในระหว่างดำเนิน
การทางวินัยของผู้บังคับบัญชา
จึงเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562
เรื่องที่ผู้ฟ้องคดีขอกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดเดิม กรณีถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อให้พิจารณาเรื่องของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย
และต่อมาผู้ฟ้องคดีได้โอนกลับไปรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 9) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงหมดสิ้นไป
ประเด็นที่สอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี
และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีอันเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่นั้น
เห็นว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามข้อ 5 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามข้อ 5
และให้ผู้ฟ้องคดีขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูงและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา
พิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)
ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2559
ดังนั้น คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ จึงมิใช่คำสั่งทางปกครอง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาใหม่คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามนัยมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ในการพิจารณาใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดีและไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี จึงพิพากษายกฟ้อง