ข่าว

ศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง “บิ๊กโจ๊ก” ฟ้อง นายกฯ ปมสั่งย้ายเข้ากรุ

ศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง “บิ๊กโจ๊ก” ฟ้อง นายกฯ ปมสั่งย้ายเข้ากรุ

20 ส.ค. 2564

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกฟ้องคดี" บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีไม่พิจารณาดำเนินการให้ "บิ๊กโจ๊ก"กลับ สตช. เมื่อครั้งโดนสั่งย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือน

 

 

ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาในคดีที่พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาลหรือบิ๊กโจ๊ก หรือผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง

 

 

และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นักบริหารระดับสูง)

 

 


 

 

ต่อมาขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 จำนวน 2 ฉบับ 

 

 

ฉบับแรกทำถึงนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อขอให้ทบทวนและมีคำสั่งใหม่ให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

 

 

และฉบับที่สองทำถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอให้พิจารณาเสนอนายกฯ มีคำสั่งให้ บิิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ทั้งนายก ฯ และปลัดไม่ได้พิจารณา จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาล

 

 

ศาลพิจารณาแล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยรวมสองประเด็น 

 

 

ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่

 

 

ศาลฯ เห็นว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) เป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง 

 

 

ซึ่งงานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีลักษณะงานเทียบเท่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง

 

 

แต่งานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) มีเพียงเล็ก
น้อย ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ฟ้องคดีเมื่อเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง

 

 

ตลอดจนในขณะที่ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการปฏิรูปราชการแผ่นดินแล้วกำหนดตำแหน่งหน้าที่อื่นให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่อย่างใด

 

 

อีกทั้งขณะที่ผู้ฟ้องคดีรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ผู้ฟ้องคดีไม่ได้อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรืออยู่ในระหว่างดำเนิน
การทางวินัยของผู้บังคับบัญชา

 

 

จึงเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 

 

 

เรื่องที่ผู้ฟ้องคดีขอกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดเดิม กรณีถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อให้พิจารณาเรื่องของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย

 

 

และต่อมาผู้ฟ้องคดีได้โอนกลับไปรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 9) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงหมดสิ้นไป 

 

 

ประเด็นที่สอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี

 

 

 และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีอันเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่นั้น

 

 

เห็นว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามข้อ 5 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามข้อ 5

 

 

และให้ผู้ฟ้องคดีขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูงและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา
พิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)

 

 

ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2559

 

 

ดังนั้น คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ จึงมิใช่คำสั่งทางปกครอง

 

 

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาใหม่คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามนัยมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

 

 

ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ในการพิจารณาใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดีและไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี จึงพิพากษายกฟ้อง