หมอรามา ย้ำ"แอสตร้า"20ล้านโดส ทางออกเปิดประเทศ 120 วัน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ชี้ทางออกเปิดประเทศ 120 วัน ต้องได้ "แอสตร้า" เกิน 20 ล้านโดส ภายในกันยายน และตุลาคม
ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอบทความชี้ทางออกเปิดประเทศ 120 วัน ต้องได้ AstraZeneca "แอสตร้า" เกิน 20 ล้านโดส ในกันยายนและตุลาคมนี้
เนื้อหาบทความระบุว่า จากข้อมูลการคาดการณ์ของนักวิชาการว่า การติดเชื้อโควิด-19 ของเดือนกันยายนจะลดลงในผู้ป่วยทุกกลุ่ม และสัญญาณบวกของวัคซีนไฟเซอร์ / ไบออนเทค ที่จะเริ่มเข้ามานับล้านโดส ปลายเดือนกันยายน และกว่า 5 ล้านโดสในเดือนตุลาคม ทยอยจนครบ 30 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ ทำให้รัฐบาลน่าจะเบาใจได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายของรัฐในภาวะวิกฤตเช่นปัจจุบันคงต้องเตรียมการไว้สำหรับฉากทัศน์ที่รุนแรงหรือต้องเตรียมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายไว้
ดังนั้น ในระยะสั้นเดือนกันยายนและตุลาคมที่จะถึงนี้ ความวิกฤตที่จะเกิดขึ้นคือ ความไม่มั่นใจว่าจะมีวัคซีนพอสำหรับประชาชนกลุ่มที่จะต้องได้รับวัคซีน "แอสตร้า" AstraZeneca เข็มที่ 2 ในทุกวิธีการฉีดไม่ว่าจะเป็น ฉีดไขว้กับซิโนแวค หรือ AstraZeneca 2 เข็มหรือไม่ แล้วจะทิ้งให้คนหน้างานตามต่างจังหวัดทั่วประเทศรับหน้าแทนรัฐบาลอีกหรือไม่ เหมือนที่ไม่มีวัคซีนให้ฉีดเพียงพอเมื่อเดือนมิถุนายน และ กรกฎาคม ที่ผ่านมา
การจะมีวัคซีน "แอสตร้า" AstraZeneca เดือนละ 10 ล้านโดสในเดือนกันยายน และ ตุลาคม พ.ศ. 2564 จึงมีความจำเป็น เพื่อนอกจากจะรับรองการมีวัคซีนสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และ ผู้ตั้งครรภ์ (กลุ่ม 608) เพื่อป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางนี้นับพันนับหมื่นชีวิตแล้ว ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรัฐบาลที่ยังไม่สามารถทำอะไรให้ถูกใจประชาชนได้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย
จากข่าวที่ออกมาว่า รัฐบาลได้เจรจาขอให้ทาง "แอสตร้า" AstraZeneca "แอสตร้า" ให้ส่งมอบวัคซีนให้ได้ตามที่รัฐบาลรับปากประชาชนไว้คือ 61 ล้านโดสภายในสิ้นปี พ.ศ. 2564 (ขณะนี้ประมาณว่าจะได้รับแค่ไม่เกิน 40 ล้านโดส) ทำให้เกิดกำลังใจบ้างว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะได้มีการเตรียมการให้มีวัคซีน AstraZeneca เพิ่มเติมในเดือน กันยายน และ ตุลาคม พ.ศ. 2564 ได้รวม 20 ล้านโดสตามที่เคยให้สัญญากับประชาชนไว้เมื่อต้นปี พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีในการที่จะทำให้ประชาชนไทยได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล และถ้าการคาดการณ์ว่า การลดจำนวนของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 รายวันลงเป็นจริง รัฐบาลก็คงจะได้รับอานิสงส์ในการตัดสินใจครั้งนี้ไปในคราวเดียวกัน
การได้รับวัคซีนเร็วเป็นสิ่งจำเป็นมากในการจะรักษาชีวิตคนไทย ถ้าเราได้ต่อรองให้ผลประโยชน์กับ "แอสตร้า" AstraZeneca ได้ดีแล้ว รัฐบาลก็ควรใช้อำนาจหน้าที่กำหนดสัดส่วนจำนวนการส่งออกวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตโดยบริษัทของคนไทย คือ Siam Bioscience ที่คงจะยินดีไม่ส่งวัคซีนนี้ออกไปมากเกิน เพื่อให้ประเทศไทยมีวัคซีน AstraZeneca ไว้ใช้ 20 ล้านโดสในเดือน กันยายน และ ตุลาคมนี้ เพื่อช่วยรักษาชีวิตคนไทยนับพันนับหมื่นชีวิตไว้ ก็ได้แต่หวังว่าบริษัท AstraZeneca คงไม่ขัดข้องเพราะได้รับผลประโยชน์ตามสมควรจากรัฐบาลไทยแล้ว
จึงขอวิงวอนให้รัฐบาลไทยได้มองเห็นโอกาสสำคัญในปลายเดือนสิงหาคมนี้ กล้าหาญที่จะออกนโยบายเพื่อรักษาชีวิตคนไทย และ รักษาศักดิ์ศรีของรัฐบาลไทย ที่จะไม่ก้มหัวให้กับบริษัทต่างชาติที่ยังไม่มีทีท่าที่จะต้องการช่วยรักษาชีวิตคนไทย ตามที่รัฐบาลร้องขอมาตั้งแต่ต้นปี โดยใช้อำนาจตาม พรบ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ มาตรา 18 ที่จะกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน "แอสตร้า" AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อให้มีวัคซีนนี้ใช้รวม 20 ล้านโดสในเดือน กันยายน และ ตุลาคม และ เพื่อให้มีวัคซีนนี้ใช้ให้ได้ครบ 61 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ
การได้ฉีดวัคซีนเกินไปเดือนละกว่า 15 ล้านโดส หรือ เกินกว่า 100 ล้านโดสในปีนี้ นอกจากจะไม่มีใครตำหนิอะไรรัฐบาลแล้ว ยังจะทำให้มีเสียงชื่นชมเป็นผลงานรัฐบาลที่มีความกล้าหาญทางการเมืองในการกำหนดนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการรักษาชีวิตของพลเมือง
ที่สำคัญที่สุดที่ต้องเร่งให้ประชาชนไทยได้ฉีดวัคซีนจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อยืนยันที่จะตอบสนองต่อคำประกาศของท่านนายกรัฐมนตรีเองที่ต้องการที่จะเปิดประเทศภายใน 120 วันที่จะบรรจบมาครบในปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะไม่มีวันสำเร็จได้เว้นแต่ประชาชนจะได้รับการคุ้มครองจากการฉีดวัคซีนในช่วงเดือนกันยายน และ ตุลาคม พ.ศ. 2564 อย่างรวดเร็วและพอเพียง