กรมชลฯเกาะติดสถานการณ์"ฝนตกหนัก" สั่งคุมเข้มการบริหารจัดการน้ำลดผลกระทบ
กรมชลประทานเกาะติดสถานการณ์"น้ำ" สั่งติดตามเฝ้าระวัง ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ให้ซ้ำเติมCOVID-19 พร้อมเร่งช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม เผยขณะนี้มีอ่างฯขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก 15 แห่ง ขนาดกลาง 41 แห่ง คุมเข้มการบริหารจัดการน้ำตาม Rule Curve เพื่อลดผลกระทบ
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมชลประทานติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
และให้ดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน 10 มาตรการของรัฐบาลเพื่อลดผลกระทบไม่ให้ไปซ้ำเติมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
จากการติดตามสภาพภูมิอากาศของศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) พบว่าในเดือนกันยายน 2564 นี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นเกือบทั่วไปเฉลี่ยร้อยละ 60–80 ของพื้นที่
โดยล่าสุดอิทธิพลของร่องมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกําลังแรงขึ้น ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ํา ปกคลุมประเทศลาวและ
เวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก บริเวณ จ.ปราจีนบุรี
ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานชลประทานที่ 9 สำนักเครื่องจักรกล และโครงการชลประทาน ปราจีนบุรี ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งของแม่น้ำปราจีนบุรี โดยให้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำในพื้นที่เสี่ยง ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์น้ำที่อาจจะล้นตลิ่ง
นอกจากนี้ให้เตรียมความพร้อมของเครื่องจักร เครื่องมือ รถแบคโฮ รถขุด รถเทรลเลอร์ เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ เครื่องผลักดันน้ําในพื้นที่เสี่ยงสามารถนำไปช่วยเหลือได้ทันที
รวมทั้งกําจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และมอบเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ส่วนในพื้นที่อื่นๆที่มีความเสี่ยงท่ี่จะเกิดภัยน้ำท่วมก็ให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันและให้รายงานสถานการณ์ผลการดำเนินงานให้ผู้บริหารตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบทันที
สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่มีน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกในช่วงนี้
ทั้งนี้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 3กันยายน 2564 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดหมายว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนตกต่อเนื่องกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 29สิงหาคม 2564 ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศ 447 แห่ง มีจำนวน 39,035 ล้าน ลบ.ม คิดเป็น 51 %ของปริมาณการเก็บกัก เป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 15,105 ล้าน ลบ.ม หรือ29% สามารถรับน้ำได้อีก 37,032 ล้าน ลบ.ม
เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกรมชลประทานได้สั่งการให้เฝ้าระวังและบริหารจัดการน้ำโดยเกณฑ์กักเก็บน้ำของอ่าง (Rule Curve) อย่างใกล้ชิด พร้อมให้มีการติดตามสถานการณ์และคาดการณ์น้ำในอ่างโดยใช้ Dynamic Operation Curve (DOC) โดยเฉพาะอ่างฯขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 51% ของปริมาณการเก็บกัก
ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 15 แห่ง ได้แก่ อ่างฯจุฬาภรณ์ 56% อ่างฯลำตะคอง 61% อ่างฯมูลบน 63% อ่างฯลำแซะ 56% อ่างฯลำนางรอง 56% อ่างฯสิรินธร 63% อ่างฯศรีนครินทร์ 69% อ่างฯวชิราลงกรณ 69% อ่างฯขุนด่านปราการชล 67% อ่างฯหนองปลาไหล 68% อ่างฯประแสร์ 71% อ่างฯนฤบดินทรจินดา 63% อ่างฯแก่งกระจาน
61% อ่างฯปราณบุรี 53% และอ่างฯรัชชประภา 65% และอ่างฯขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของปริมาณการเก็บกักซึ่งขณะนี้มีจำนวน41 แห่ง
โดยการระบายน้ำจะไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจสอบความมั่นคง แข็งแรงของอ่างฯทุกแห่ง
สำหรับพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมขังในขณะนี้ กรมชลประทานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ที่ อ.แกลง จ.ระยอง ได้เปิด ปตร.คลองโพล้ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลที่ตลาดเจริญสุข อ.เมืองจันทบุรี ได้เปิด ปตร.คลองภักดีรำไพ ในแม่น้ำจันทบุรี เพื่อเร่งให้คลองน้ำใสระบายลงแม่น้ำจันทบุรีได้มากขึ้นเป็นต้น
คาดว่า หากไม่มีฝนตกหนักลงมาซ้ำเติมสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติอย่างแน่นอน