ศักดิ์สยาม แจงสภาไม่เคยแทรกแซงการรถไฟฯ ปัญหาที่ "เขากระโดง" เกิดนานแล้ว
ศักดิ์สยาม แจงสภาไม่เคยแทรกแซงการรถไฟฯ ปัญหาที่ "เขากระโดง" เกิดนานแล้วต้องตรวจสอบสิทธิของทุกคน รับไปสถานบันเทิงก่อนแพร่ระบาดโควิด ถามกินนมเย็น เป็นคนเสเพลหรือ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงในสภากรณีบ้านพักในจ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินของการรถไฟ ว่า ตนเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่ในที่ดิน ที่มีโฉนดเลขที่ 3466ออกตั้งแต่ปี 2515 ขณะนั้นตนอายุเพียง 10 ขวบ หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว ตนได้สั่งการให้การรถไฟดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย แต่ทุกอย่างต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินให้เรียบร้อยก่อน ไม่เคยไปแทรกแซงใดๆ
ส่วนข้อสงสัยที่การรถไฟไม่ฟ้องขับไล่หรือเก็บค่าเสียหายในรูปแบบของค่าเช่านั้น โดยหลักก็ต้องตรวจการออกเอกสารสิทธิก่อนเช่นกัน ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาขั้นต้น ทำให้การรถไฟมีความเชื่อว่าการออกเอกสารสิทธิ์ของกรมที่ดินมีความคาดเคลื่อน ก็จำเป็นต้องให้กรมที่ดินพิจารณาเพื่อถอนโฉนดที่ออกทับที่ดินการรถไฟ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา11 ต่อไป ก็ได้มีหนังสือประสานงานกับกรมที่ดินแล้ว
และในฐานะรัฐมนตรีคมนาคมได้มอบนโยบายให้การรถไฟ ดำเนินการทุกขั้นตอนตามระเบียบกฎหมายตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติด้วยความเท่าเทียมเสมอภาค และโปร่งใส ซึ่งข้อพิพาทที่เกิดขึ้นต่างๆ มีความคืบหน้ามากกว่าทุกยุคทุกสมัย โดยให้รายงานผลทุกเดือน
เช่นเดียวกับปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เครือข่ายสลัมสี่ภาค ผู้บุกรุกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้ดำเนินการแก้ไขอยู่
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ข้อกล่าวหาว่าตนเป็นผู้นำการบุกรุกและใช้กระบวนการทางกฎหมาย ก็ต้องถามว่าในญัตติเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ เพราะการบุกรุกของประชาชนมีมาตั้งแต่ปี2502 ซึ่งตนยังไม่เกิด และหากใครมีข้อมูลหรือหลักฐานชี้ชัดว่าตนเอื้อให้เครือญาติถือครอบครองเอกสารหรือโฉนดที่ดินด้วยวิธีฉ้อฉล ก็ขอให้ไปยื่นฟ้อง เพื่อเพิกถอนโฉนดได้ทันที
แต่ขอให้ทำแบบเดียวกันทั่วทั้งประเทศ อย่าทำแต่ที่เขากระโดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่ตนอาศัยอยู่ในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ แล้วถูกกล่าวหาว่าผิดจริยธรรม ถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง แบบนี้ ส.ส.ทุกคนมีที่อยู่อาศัยอยู่ในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ ก็ผิดจริยธรรมกันทั้งหมด
ส่วนข้อกล่าวหาประพฤติตัวเสเพล ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค เข้าไปในแหล่งอบายมุข จนเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดโควิด-19ไปทั่วประเทศนั้น นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า การไปพักผ่อนนอกเวลาราชการ ในช่วงที่ไม่ได้มีการแพร่ระบาดของโรค สิ่งเหล่านี้หรือที่เรียกว่าเสเพล
และภาพที่ผู้อภิปรายนำมาแสดงเป็นเหตุการณ์วันที่ 8 ธันวาคม 2563 เวลา 20:00 น. ซึ่งไม่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดโควิดในเดือนเมษายน 2564 การเอารูปมาปะติดปะต่อเพื่อสร้างเรื่องให้คนเข้าใจผิด ผู้อภิปรายน่าจะถูกกล่าวหามากกว่า เพราะบิดเบือนข้อมูล
และจากภาพตนก็พยายามป้องกันโดยการสวมแมส และร้านอาหารที่ตนไป สมาชิกหลายคนก็เคยไป ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมาย และเครื่อง
ดื่มที่ตนดื่มก็เป็นนมเย็น ถ้ากินนมเย็นแล้วถือว่าเสเพลตนก็ไม่รู้จะพูดยังไง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนไปในที่ที่มีสุภาพสตรี มีการร้องเพลง ตนก็เคยไปแต่ไม่ใช่ช่วงแพร่ระบาดโควิดแน่นอน เป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่มีสถานภาพโสด แล้วพักผ่อน การไปหัดร้องเพลงผิดตรงไหน เคยได้ยินคำกล่าวหรือไม่ ชนใดไม่มีดนตรีกาล ส่อสันดานว่าอะไร ก็ไม่อยากจะพูดอะไรที่รุนแรง การใช้คำว่าเสเพลกับตน
ก็ต้องถามว่าเคยเปิดพจนานุกรมดูหรือไม่ คำว่าเสพเพล หมายถึงไม่เอาการเอางาน แต่ตลอดเงลาที่มารับตำแหน่ง ก็มีข่าวตนที่เกี่ยวกับการทำงาน 200 กว่าข่าว ซึ่งมีการจัดทำคิวอาร์โค้ดไว้สามารถเข้า
ไปดูได้
นอกจากนี้ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยังอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เรื่องต้นตอของคลัสเตอร์การแพร่ระบาด ซึ่งได้รับคำตอบว่า นายศักดิ์สยาม ไม่ได้เป็นต้นต่อการแพร่ระบาดของโควิดไปทั่วประเทศ เนื่องจากในช่วง 14 วันก่อนป่วย ไม่พบประวัติว่า นายศักดิ์สยามเดินทางไปยังสถานบริการบันเทิงย่านทองหล่อ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดในเดือนเมษายน
โดยทามไลน์คลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดในสถานบันเทิงหลายแห่งในกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่ 13 มีนาคม 2564 แต่ 7 เมษายน 2564 ตนเดินทางไปบุรีรัมย์และตรวจพบว่าติดเชื้อ จึงเข้ารักษาตัวทันทีจนหายขาด
ดังนั้นข้อกล่าวหาว่าตนเป็นต้นตอของการเเพร่ระบาดก็เป็นเรื่องเท็จ เพราะ 6 เมษายน พรรคภูมิใจไทยได้จัดงานทำบุญวันก่อตั้งพรรค มีเพื่อนสมาชิกจากพรรคต่าง ๆ มาร่วมด้วย ก็ไม่ปรากฏว่าหลังการจัดงานแล้วมีใครติดเชื้อ
ทั้งนี้การกล่าวหาหรือใช้หลักฐานอันเป็นเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่น่าจะเป็นบรรทัดฐานที่ดีในสภา เพราะที่แห่งนี้เป็นสภาทรงเกียรติ ควรเอาเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมาใช้ และขอฝากไปยังผู้อภิปรายว่า ท่านมีคดีที่ถูกฟ้องร้องอยู่ที่บุรีรัมย์
หลังจากประชุมแล้วกรุณาไปพิสูจน์ความจริงด้วย อย่ามัวแต่ใช้โซเชียล ที่ผ่านมาตนเคยชื่นชมว่าเป็นนักการเมืองที่กล้าทำหลายสิ่งหลายอย่าง กล้าพูดกล้าแสดงออก แต่วันนี้สิ่งที่แสดงออกไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย