ข่าว

รมว. ท่องเที่ยว -ททท. -เอกชน ประกาศความพร้อม "เปิดหัวหิน" รับต่างชาติ 1 ต.ค.

รมว. ท่องเที่ยว -ททท. -เอกชน ประกาศความพร้อม "เปิดหัวหิน" รับต่างชาติ 1 ต.ค.

05 ก.ย. 2564

รมว.ท่องเที่ยว พิพัฒน์ รัชกิจประการ ททท. พร้อมเอกชน ประกาศความพร้อม "เปิดหัวหิน" รับต่างชาติ 1 ต.ค.นี้ ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัว

 

 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ  รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ หัวหิน รีชาร์จและแนวทาง"เปิดเมืองหัวหิน"ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัว ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงการท่องเที่ยว ฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดประเทศภายใน 120 วัน

 

 

พร้อมจัดทำแผนตั้งแต่ระยะที่ 1 คือการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สมุย พลัส โมเดล เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เขาหลัก จังหวัดพังงา และเกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
 

 

 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ส่วนแผนระยะที่ 2 กำหนดเริ่ม 1 ตุลาคมนี้ จะมีการเปิดประเทศเพิ่มอีก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ  ชลบุรี  ในพื้นที่พัทยา บางละมุง สัตหีบ ,เพชรบุรี ในพื้นที่ชะอำ ประจวบคีรีขันธ์ ในพื้นที่"หัวหิน"และเชียงใหม่ในพื้นที่อำเภอเมือง แม่แตง แม่ริม และดอยเต่า

 

 

นายพิพัฒน์ รมว.ท่องเที่ยว กล่าวต่อว่า การเปิดประเทศครั้งนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการมีความพร้อม แต่วัคซีนยังมาไม่ครบจึงยังเปิดไม่ได้ รวมถึงสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากในเมืองท่องเที่ยวขณะนี้คือ หากเป็นไปได้ขอให้จัดเป็นพื้นที่สีเหลือง เพื่อให้สามารถทานอาหารและดื่มสุราได้

 

 

นอกจากนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะนำไทยแลนด์ริเวียร่ามาเป็นตัวเชื่อมการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด

 

 

โดยจะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวาระต่อไปด้วย

 

 

กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะติดตามสถานการณ์การระบาดโควิดในประเทศอย่างใกล้ชิดจนถึงวันที่ 14 กันยายนนี้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะน้อยลงหรือไม่ หากผู้ติดเชื้อน้อยลงจนเหลือหลักพัน จากปัจจุบันผู้ติดเชื้ออยู่ที่หลักหมื่นคนนั้น จะมีการหารือในที่ประชุม ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขว่าจากสถิติของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อคิดเป็น 0.3% เท่านั้น

 

 

ทำให้จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน จาก 14 วัน พร้อมมั่นใจว่าพื้นที่ 5 จังหวัดดังกล่าว โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ได้รับวัคซีนที่ 70% ของประชากรแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นยังคงขาดวัคซีนอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์

 

 

โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเจรจากับศบค.กระทรวงสาธารณสุขให้จัดสรรวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่รองรับการเปิดประเทศต่อไป

 

 

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า รูปแบบการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในโครงการหัวหิน รีชาร์จ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องทำการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR หรือการเก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณลำคอ และหลังโพรงจมูก
จำนวน 3 ครั้ง โดยเมื่อมาถึงสนามบินต้องตรวจครั้งที่ 1 ทันที

 

 

จากนั้นเดินทางเข้าโรงแรมที่พักผ่านรถโดยสารที่ได้รับมาตรการตามกำหนดไว้ นักท่องเที่ยวจะไม่สามารถออกจากห้องพักได้ จนกว่าจะมีการยืนยันว่าไม่พบเชื้อโควิด จึงจะสามารถเดินทางท่อง
เที่ยวในเส้นทางท่องเที่ยวกำหนดเฉพาะซีลรูทได้แบบไม่มีการกักตัว

 

 

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ให้ตรวจซ้ำอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 6-7 และวันที่ 12-13 ซึ่งหากไม่พบเชื้อโควิดและอยู่ในพื้นที่ครบ 14 วันแล้ว ถึงจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทยได้ จึงยืนยันว่าคนในพื้นที่สามารถสบายใจได้ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้

 

 

ผู้ว่าการฯ ททท. กล่าวด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้นโนบายพิจารณาพื้นที่อื่นเพิ่มเติม ในระยะต่อจากนี้ด้วย เช่น พื้นที่เชียงคาน จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย พื้นที่เกาะกูด เกาะช้าง จังหวัดตราด เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง

 

 

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการท่องเที่ยวในไทยนั้นตั้งแต่ตุลาคมเป็นต้นไปคาดหวังว่าจะเห็นการท่องเที่ยวไทยกลับมา เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น

 

 

โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดไทยเที่ยวไทยจะมีการเดินทางในประเทศไม่ต่ำกว่าปี 2563 อยู่ที่ 90 ล้านคน-ครั้ง ซึ่ง ททท.พยายามกัดฟันทำให้ได้ตามที่วางเป้าหมายไว้

 

 

ผู้ว่าการการท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.2 ล้านคน แต่ขณะนี้หวังให้เห็นที่ 1 ล้านคนให้ได้ก่อน

 

 

เพราะจากข้อมูลจำนวนต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 40,000 คนบวกกับเข้ามาในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์อีก 26,400 คนในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา รวมเกือบ 100,000 คน ซึ่งเหลืออีก 900,000 คน ที่ต้องเข้ามาในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี หากสามารถมาได้เดือนละ 300,000 คน เชื่อว่ายังมีโอกาสได้เห็นจำนวน 1 ล้านคนในปีนี้