ข่าว

แก้ไข ร่าง รธน. "ปมบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ" 3 พรรคใหญ่ พท.- พปชร.-ปชป. ได้ประโยชน์

แก้ไข ร่าง รธน. "ปมบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ" 3 พรรคใหญ่ พท.- พปชร.-ปชป. ได้ประโยชน์

08 ก.ย. 2564

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาลงมติวาระ3 วันที่ 10 ก.ย.นี้โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ "ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ " ซึ่งหากร่างฯผ่านความเห็นชอบไปได้ 3 พรรคใหญ่ พท.- พปชร.-ปชป. ได้ประโยชน์มากสุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า

 

 

วันศุกร์ที่ 10 ก.ย.นี้  รัฐสภามีนัดพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ซึ่งเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติในวาระที่สาม

 

 

มาตรา 83 ซึ่งบัญญัติว่า สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน 

 

 

สาระสำคัญของมาตรานี้ ก็คือ ส.ส. มีทั้งหมดจำนวน 500 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส. เขตจำนวน 400 คน  และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 100 คน  
 


 

 

และมาตรา 91 ซึ่งบัญญัติว่า การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้งให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น

 

 

โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น 

 

 

สาระสำคัญของมาตรานี้ เป็นวิธีการคำนวณจำนวนที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้ โดยแยกกันเด็ดขาดจากคะแนนของ ส.ส. เขต ไม่นำมาปะปนกันหรือ "ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ"

 

 

สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านเข้าสู่วาระ 3 ของรัฐสภาในครั้งนี้เหลือเพียงร่างเดียว (หลังจากถูกคว่ำไป 12 ร่างในวาระแรก )เป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 ซึ่งเป็นร่างของพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้แก้ไข มาตรา 83 และ มาตรา 91 (ซึ่งมีเนื้อหาตามที่
กล่าวมาข้างต้น) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ"การเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบ "
 

 

 

โดยเหตุผลที่เสียงส่วนใหญ่ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในวาระแรกและวาระสองก็คือ การให้มี “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตแยกออกจากกันเพื่อให้ตรงกับความประสงค์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุด เพราะจุดประสงค์ของการเลือกพรรคการเมืองกับเลือกผู้สมัคร ส.ส. เขต มีจุดประสงค์ต่างกัน

 

 

แต่แท้ที่จริง "ระบบเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบ"  เอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองใหญ่ 3 พรรค คือพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่แปลกที่จะเห็น เพื่อไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ หันมากลมเกลียวกันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน   

 

 

ขณะที่พรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทยและพรรคการเมืองขนาดเล็ก ย่อมเสียประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะเลือกตั้งครั้งที่แล้วตามรัฐธรรมนูญ 60 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวลงคะแนนเลือก ส.ส.เขต นั้น ทุกคะแนนนำมาคำนวณจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับด้วย

 

 

ทำให้พรรคการเมืองเกิดใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 แม้จะได้ ส.ส.เขตน้อยแต่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมาก เพราะทุกคะแนนนำมาคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

 

 

ส่วนสาเหตุสำคัญที่พรรคการเมืองใหญ่มีโอกาสจะได้ ส.ส.เขต เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจะกำหนดให้มี ส.ส.เขต 400 คน จากเดิมที่มี ส.ส.เขตจำนวน 350 คน   ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 100คน พรรคการเมืองใหญ่ก็มีโอกาสได้เพิ่มเช่นกัน เพราะมีสมาชิกพรรค 
และมีคะแนนนิยมของพรรคอยู่แล้ว

 

 

พรรคเพื่อไทย จะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก"ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ"

 

หากย้อนดูการเลือกตั้งทั่วไปปี2544เป็นการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และใช้การเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบ พรรคไทยรักไทย ประสบความสำเร็จกับการเลือกตั้งระบบบัตร 2 ใบมากที่สุด ชนิด “แลนด์สไลด์”  ชนะเลือกตั้งชนิดถล่มทลาย

 

 

โดยพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส.จำนวน 248 ที่นั่งจาก ส.ส.เขตจำนวน 200 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 48 คน และได้คะแนนเสียงรวม 11,634,495 เสียงและทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี  

 

 

“เลือกคนที่ใช่กับพรรคที่ชอบ” จึงเป็นวลีฮิตในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2544 กอปรกับช่วงนั้นคนชื่นชอบนโยบาย เชิง Political Makerting หรือ“ทักษิโณมิกส์”และส่งผลจนถึงยุค"พรรคเพื่อไทย"ที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งปี 2554 และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

 

 

แต่พอมาถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ใช้บัตรเลือกใบเดียวครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560  พรรคเพื่อไทย ร่วงลงมาเหลือ 136 ที่นั่งจากส.ส.เขต และไม่ได้ส.สบัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว คะแนนรวม 7,881,006 เสียงต่างจากการเลือกตั้งในปี 2544 อย่างเห็นได้ชัด 

 

 

พรรคพลังประชารัฐ ได้เปรียบเชิงกลไกรัฐ  คุมนักการเมืองท้องถิ่น เห็นได้จากการชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตต่อเนื่อง 3 สนาม ไม่ว่าที่ ขอนแก่น ลำปาง และนครศรีธรรมราช  

 

และจากนโยบายของโครงการรัฐ เยียวยาในเรื่องต่างๆ โดนใจประชาชนทั้งประเทศ จะเป็นตัวช่วยเสริมที่มีประสิทธิภาพ

 

 

พรรคประชาธิปัตย์  หากใช้"บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ" อาจจะพ้นจุดตํ่าเพราะจะเป็นพรรคเดียวในพรรคการเมืองหลัก ที่ยังเป็น สถาบันทางการเมือง หากเกิดแรงเหวี่ยงหรือเกิดการสั่งสอนจากประชาชน มีความเป็นไปได้สูงที่คะแนนจะไปอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์