กองปราบ จับร้าน"วัตถุโบราณ" ยึดปืนใหญ่เทียม 7 กระบอก | คมชัดลึก

เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.จักรี กันธิยะ , พ.ต.ท.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์, พ.ต.ต.ทัตพร เลขะวัฒนพงษ์ สว.กก1.บก.ป. นำกำลังเข้าทำการตรวจค้น ร้านค้าที่มีการจำหน่าย และเก็บรักษา "วัตถุโบราณ"  จำนวน 3 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 2 จุด และพื้นที่ จ.นนทบุรี จำนวน 1 จุด เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา 
     

 

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับปราบปราม(บก.ป.) ได้รับแจ้งและร้องเรียนให้ช่วยตรวจสอบเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง ซึ่งมีการขายสินค้า "วัตถุโบราณ" ลักษณะคล้ายปืนใหญ่ ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีการประกาศขายกันอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมกับปรากฏข้อความชักชวน ให้ผู้คนทั่วไปเกิดความสนใจ และมีการจำหน่ายในราคาที่ค่อนข้างสูง

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก. 1 บก.ป. จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า ร้านดังกล่าวมีการประกาศขาย "วัตถุโบราณ" จริง โดยมีการเปิดร้านจำหน่าย และเก็บสินค้าไว้ในเขตกรุงเทพมหานคร และ จ.นนทบุรี จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุญาตศาลออกหมายค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 แห่ง เพื่อเข้าทำการตรวจสอบ

 

ทั้ง นี้เมื่อไปถึงพบนายสมยศ (นามสมมุติ) แสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน "วัตถุโบราณ" ทั้งหมด ก่อนพาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ทั้งสิ้น 7 กระบอก และยังตรวจพบมีการขายสินค้าประเภทอื่นๆ อีกด้วย 

 

จากการสอบสวนนายสมยศ  ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ครอบครองปืนใหญ่ "วัตถุโบราณ" ของกลางทั้งหมด โดยได้ติดต่อซื้อมาจากคนรู้จัก ก่อนนำเข้ามาจากต่างประเทศ กำหนดราคาตามขนาด ซึ่งกระบอกเล็กขายในราคาประมาณ 50,000 - 100,000 บาท และกระบอกใหญ่ขายในราคา 100,000 - 200,000 บาท มีหน้าร้านบริเวณถนนบรมราชชนนี แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ซึ่งเปิดมานานกว่า 8 ปี ส่วนกรณีที่พบโบราณวัตถุลักษณะคล้ายปืนใหญ่ปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดียนั้น เป็นบุคคลอื่นที่ช่วยโปรโมทขายสินค้าทางออนไลน์ให้ 
       

 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า "วัตถุโบราณ" ลักษณะคล้ายปืนใหญ่ทั้งหมด เป็นวัตถุที่ทำเทียมเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะนำไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันอีกครั้ง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ ยังตรวจสอบพบว่า ร้านค้าดังกล่าวไม่ได้ทำการขออนุญาตทำการค้าตามกฎหมาย 

 

เบื้องต้นพฤติการณ์ของนายสมยศ เข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ "วัตถุโบราณ" และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 19  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุมตัวนายสมยศ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป