อนุทิน แถลงจับ ผัว-เมีย จอมแสบ "ทุจริตวัคซีน" สถานีกลางบางซื่อ
อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข แถลงจับ ผัว-เมีย ผู้ต้องหา "ทุจริตฉีดวัคซีน" โควิด-19 สถานีกลางบางซื่อ ประกาศรัฐบาลให้บริการฟรี พร้อมดูแลประชาชนทั้งประเทศ ย้ำไม่ละเว้นผู้กระทำผิดทั้งสิ้น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหาคดี "ทุจริตวัคซีน" โควิด 19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ
โดยก่อนการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวผู้ต้องหา "ทุจริตวัคซีน" 2 จาก7 คน ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาไปชี้จุดเกิดเหตุ ที่บริเวณประตู4 อาคารสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมสังเกตุการณ์ ในการชี้จุดเกิดเหตุของผู้ต้องหาในครั้งนี้ด้วย
ซึ่ง1ใน2ผู้ต้องหา "ทุจริตวัคซีน" ให้การรับสารภาพว่า การกระทำดังกล่าว ไม่ได้เป็นการตัดโควตาของประชาชนทั่วไปในแต่ละวัน เนื่องจากผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ จะมีโควต้าในการใช้ลงทะเบียน ซึ่งตนได้ใช้ตรงจุดนั้นในการลงทะเบียน และรอที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลาง ในการกระจายวัคซีนทำให้ปริมาณวัคซีนในแต่ละวัน มีจำนวนเพียงพอ ที่จะเพิ่มจำนวนตามความต้องการของตนเอง โดยเริ่มแรกเป็นการลงทะเบียนให้กับคนรู้จัก เพื่อที่อยากจะช่วยให้ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว
จากนั้นก็มีคนมาติดต่อให้ตนลงทะเบียนการฉีดวัคซีนให้กับคนอื่น โดยให้ค่าจ้างหัวละ 200-300 บาท ก่อนที่คนมาจ้างตน จะนำไปบวกค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกอย่างน้อย 3 ทอด และโดนจับได้ว่ามีการ "ทุจริตวัคซีน" เรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 1,000 บาทในแต่ละคน ซึ่งในส่วนของตนเอง ตลอดเวลาที่ทำการทุจริตได้เงินไปประมาณ 3-4 ล้านบาท ส่วนเงินที่ได้นำไปใช้จ่ายหนี้สินที่เกิดจากช่วงภาวะการระบาดของเชื้อโควิด-19 เนื่องจากว่ารายได้ที่ได้จากการทำงานสุจริตได้เพียงวันละ 500 บาท
จากนั้นนาย อนุทิน แถลงข่าวว่า ผู้กระทำผิด "ทุจริตวัคซีน" มีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์ จากผู้ที่มาฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้บริหารศูนย์ฉีดวัคซีน ที่เห็นความผิดปกติของยอดผู้ที่เข้ามาฉีดวัคซีน จึงได้ประสานทางตำรวจเพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิด ต่อมาได้ควบคุมตัวและนำมาทำแผนในวันนี้
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งทางรัฐบาล ขอยืนยันว่า การให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลประชาชนคนไทย และชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ทำความเข้าใจหลายครั้งว่า เป็นวัคซีนฟรี ไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทุกกระบวนการเป็นภาระและค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น
ดังนั้น กรณีนี้ต้องเป็นบทเรียนเพื่อเตือนความจำให้ประชาชนที่จะเข้ามารับบริการฉีดวัคซีน กับสถานบริการของรัฐ จะต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจากใคร หากพบเจอการกระทำผิด "ทุจริตวัคซีน" ขอให้เเจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที พร้อมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาได้ในครั้งนี้ และขอย้ำว่า จะไม่มีการละเว้นความผิดกับผู้ใดทั้งที่กระทำผิดทั้งสิ้น
ทางด้าน พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กล่าวว่า ในช่วงที่สถานีกลางบางซื่อ เปิดให้มีการwalk in เข้ามาฉีดวัคซีนนั้น คนที่เข้ามาใช้บริการ จะไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบเลย ดังนั้น จึงต้องเปิดสิทธิ์การลงทะเบียนให้กับจิตอาสา หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มาให้บริการได้เข้าถึง ซึ่งสามารถเพิ่มรายชื่อของผู้ที่จะเข้ามารับบริการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการเฝ้าระวัง "ทุจริตวัคซีน" ว่า อาจจะเกิดการทุจริตจากช่องโหว่นี้ได้
โดยพบว่าแรกๆ เจ้าหน้าที่บางราย มีการแอดรายชื่อของญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงเข้ามาในระบบ แต่มีลักษณะเพียงแค่คนถึง 2 คนเท่านั้น โดยทางศูนย์ได้คอยจับตา "ทุจริตวัคซีน" มาโดยตลอด แต่กรณีพบความผิดปกติ การลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้าวันละหลักพันคน ซึ่งพบครั้งแรกคือวันที่18 ก.ค. 64 เห็นการนัดหมายไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค. บางวันหลักพัน บางวันหลักร้อย วันที่มากที่สุดคือ 28 ก.ค. ที่มีการแอดรายชื่อไปกว่า 2,800 กว่าคน ที่พบความผิดปกติ
จนได้รอให้ผู้ที่มีรายชื่อในจำนวนนี้ เข้ามารอในอาคารวันดังกล่าว และได้ทำการยกเลิกสิทธิ์ พร้อมส่งเอกสารการสอบสวนให้คนในจำนวนนี้ได้กรอกถึงที่มาในการจองคิว ก่อนสรุปรายละเอียดแจ้งต่อตำรวจในภายหลัง และสามารถจับกุมผู้กระทำผิด "ทุจริตวัคซีน" ได้ในที่สุด
พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผู้บังคับการตำรวจรถไฟ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับแจ้ง ได้มีการตั้งคณะทำงานสืบสวน จนกระทั้งรู้แน่ชัดว่า ผู้ต้องหากระทำผิดจริง จึงได้ออกหมายจับ ทั้ง 7 คน และสามารถจับกุมผู้กระทำผิด "ทุจริตวัคซีน" ได้แล้วทั้งหมด ขณะนี้อยู่ในระหว่างสอบปากคำ และได้แจ้งข้อหาคือ ความผิดในการนำเข้าข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ และความผิดฐานฉ้อโกง พร้อมยืนยันว่า ผู้ต้องหากระทำความผิดด้วยตนเอง ไม่มีองค์กรใดเกี่ยวข้อง โดยผู้ต้องหาได้แบ่งหน้าที่กันคือ 2 คนสามีภรรยา ทำหน้าที่คีย์ข้อมูล ขณะที่อีก 5 คนที่เหลือ ทำหน้าที่จัดหาคนเข้ามาฉีด