ข่าว

ส่องกล้อง เพื่อนลุงตู่ ขยับรับ ปลัดฉิ่ง "ตั้งพรรคการเมือง"ใหม่

ส่องกล้อง เพื่อนลุงตู่ ขยับรับ ปลัดฉิ่ง "ตั้งพรรคการเมือง"ใหม่

30 ก.ย. 2564

ทำความรู้จัก "เพื่อนลุงตู่" พ.อ.สุชาติ   จันทรโชติกุล ออกมาส่งสัญญาณถึงกลุ่มส.ส.ใต้พรรคพลังประชารัฐ ภายหลังกระแสแรงรอต้อนรับ ปลัดฉิ่ง จัด"ตั้งพรรคการเมือง"ใหม่

ขยับออกมายืนหน้าฉากกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อล่าสุด "พ.อ.สุชาติ   จันทรโชติกุล"  อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความลงเพจส่วนตน เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ในทำนองสนับสนุนการ"ตั้งรรคการเมือง"ใหม่ของ"ปลัดฉิ่ง" ฉัตรชัย พรหมเลิศ  อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย 

 

พ.อ.สุชาติ โพสต์ข้อความไว้ดังนี้ "ต้นเดือนหน้า น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องพรรคใหม่ที่สื่อเสนอกันมาตลอดว่ามี ปลัดฉิ่ง( นายฉัตรชัย  พรหมเลิศ ) ผลักดัน ส่วนตัวผมเองไม่ได้ช่วยงาน พรรคพลังประชารัฐ แน่นอนในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรุ่งนี้ จะเรียกทีมงานหารือวางแผนการทำงานในพื้นที่ 

 

ส่วนส.ส.พปชร.ที่ได้รับเลือกมา 13 คนนั้น เพราะกระแสความนิยมในตัวของนายกฯ ผมยังมั่นใจว่าในภาคใต้ความนิยมในตัวนายกฯไม่ได้ลดลง" 

 

ส่องกล้อง เพื่อนลุงตู่ ขยับรับ ปลัดฉิ่ง \"ตั้งพรรคการเมือง\"ใหม่

 

การออกโพสต์ข้อความ ของ "พ.อ.สุชาติ   จันทรโชติกุล" ทำให้คอการเมืองออกมาตีความต่างต่างนานา แต่มีความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังมีความพยายามย้ายบ้านเข้าสังกัดพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมี ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่กำลังกลายเป็นอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นแกนหลักสำคัญ   

ฉัตรชัย พรหมเลิศ  อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย แกนนำสำคัญตั้งพรรคการเมืองใหม่

 

ความพยายามในการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมี  ฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นแกนหลักสำคัญ มีการกล่าวถึงบนสนามทางการเมืองมานานหลายเดือนแล้ว ถึงกับรับรู้การต่อสายสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มทุน และคัดเลือกชื่อพรรคการเมือง บ้างว่าได้ข้อสรุปเบื้องต้นให้ใช้ชื่อ "พรรคเศรษฐกิจไทย" 

 

กอปรกับ การออกมาโพสต์ข้อความของ "พ.อ.สุชาติ" ในวันที่ 29 กันยายน ก่อนวันที่ "ฉัตรชัย พรหมเลิศ" หรือ "ปลัดฉิ่ง" จะเกษียณอายุราชการในวันที่  30 กันยายน ย่อมมีนัยยะสำคัญทางการเมืองชนิดที่ทุกคนต้องจับตามอง 

 

"พ.อ.สุชาติ   จันทรโชติกุล" อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้พรรคพลังประชารัฐ

 

ที่สำคัญ ชื่อของ "พ.อ.สุชาติ" นั้นไม่เพียงแต่เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐภาคใต้เท่านั้น  แต่เจาะลึกลงไปกว่านั้นพ.อ.สุชาติ หรือที่ผู้คนในภาคใต้มักเรียกขานอย่างสนิทใจ ว่า "ผู้การชาติ"  เขาเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ คนที่ทำหน้าที่ผู้นำประเทศในขณะนี้ นั่นคือ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม  

  

 

 

"ผู้การชาติ" เคยรับราชการทหารอยู่ที่สงขลาตั้งแต่ปี  2520 เคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 5  และ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 43 จังหวัดนราธิวาส ในช่วงปี พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2535  ลาออกจากราชการปีเดียวกัน 

 

เรียกว่าอยู่ในพื้นที่มายาวนาน จึงลงสมัคร ส.ส. และได้รับเลือกตั้ง เป็นส.ส. สงขลา ในนามพรรคความหวังใหม่  หลัง คสช.เข้ายึดอำนาจ เขายังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ   ระหว่างอยู่ในสภาก็ผลักดันการตั้งพรรคพลังประชารัฐ และมาเป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ  พร้อมกับสร้างผลงาน สงขลา ได้ส.ส.พลังประชารัฐ 4 คนด้วยกัน 

 

เมื่อปลายปี 63  ในการเลือกตั้งนายกอบจ. สงขลา  ผู้การชาติ ประกาศลงชิงชัยในนามทีมสงขลาประชารัฐ แต่ก็พ่ายให้กับว่าที่ร้อยตรีไพเจน มากสุวรรณ์ ทีมพรรคประชาธิปัตย์  ซึ่งเป็นสนามเลือกตั้งที่ผลการแข่งขันออกมาสูสี 

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี บุคคลที่ ผู้การชาติเอ่ยถึงเสมอบนเวทีปราศรัยว่าเขาเป็นเพื่อนนายกฯ

 

อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เขาขึ้นเวทีปราศรัย สูตรสำเร็จในการขอคะแนนประชาชน นั่นคือ การเอ่ยชื่อ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ทำนองว่า  " ตนเองเป็นเพื่อนกับพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เตรียมทหารรุ่นที่ 12  กินนอนที่เดียวกัน ดังนั้นพื้นที่ภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ มีพ.อ.สุชาติ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียว "

 

จึงไม่แปลกที่เขาจะได้รับเลือกจากคสช.ให้มาเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. และมาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐก่อนได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้อำนวยการพรรคพปชร.โซนภาคใต้ในที่สุด 


ทว่า  การออกมาเปิดตัวของ"ผู้การชาติ"  -  "ปลัดฉิ่ง"  หรือรวมไปถึง "นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค"  ที่ปรึกษานายกฯ ให้ไปนั่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  

 

ดูเป็นช่วงเดียวที่พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่พบปะประชาชน

 

เหมือนสัญญาณออกมาจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลเตรียมตัวตุนคะแนน สร้างฐานเสียง เพื่อรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง  

 

และอาจเป็นภาพให้ชวนคิดกันต่อไปว่า ทั้งการตั้งพรรคใหม่หนุนพล.อ.ประยุทธ์  รวมถึงการต่อสายเชื่อมต่อพลังประชารัฐ

 

จะเป็นกลวิธี แยกกันเดินร่วมกันตี หรือไม่ 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง