ปลด "วิระชัย" จากตำเเหน่ง รอง ผบ.ตร.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
"ศาลปกครองกลาง" ชี้คำสั่งคำสั่ง สำรอง-ปลด "วิระชัย" จากตำเเหน่งรอง ผบ.ตร.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่ง ผบ.ตร.-กตช.-นายกฯ ปี63
ระบุเเนวปฏิบัติคำพิพากษาให้ตร.คืนสิทธิประโยชน์ตามระเบียบ พร้อมสั่งคุ้มครองชั่วคราวจนกว่าคดีถึงที่สุด
อีกทั้งย่อมทราบอยู่แล้วว่าในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ต.ค.63 และจะเป็นผู้สรรหาข้าราชการตำรวจไปดำรงตำแหน่งผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจที่จะได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง โดยคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วเสนอ ก.ต.ช. เห็นชอบก่อน ก่อนเสนอโปรดเกล้าฯ เมื่อผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติผู้ฟ้องคดีจึงอยู่ในบัญชีที่จะได้รับการคัดเลือกได้ แต่เมื่อมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงมีผลผูกพันผู้ฟ้องคดีจนกว่าจะถูกเพิกถอน ทั้งหลังจากยังได้เสนอเรื่องของผู้ฟ้องคดีไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4เพื่อให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง การที่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการดังกล่าวแม้จะมีขั้นตอนตามกฎหมาย เพื่อดำเนินการให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่ง หลังจากมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการก็ตาม แต่ในทางพฤตินัยถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้พ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้ว ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่เหมาะสมในการที่จะได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวว่าเมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับคำสั่งให้สำรองราชการแล้ว จะไม่สามารถเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.ได้เพราะผู้ฟ้องคดีถูกสำรองราชการอยู่
ตลอดจนก่อนที่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงหรือมีพยานบุคคลใดได้ร้องว่าผู้ฟ้องคดีไปยุ่งเหยิงกับพยานหรือเป็นอุปสรรคในการสอบสวนหรือทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร ตลอดจนหากให้ผู้ฟ้องคดียังคงอยู่ในตำแหน่งแล้วทำให้เกิดความเสียหายเเก่บุคคลอื่น
การที่มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการจึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคำสั่งที่ระบุว่าเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมในการดำเนินการทางวินัยและอาญาหาก แต่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการโดยมีวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการ เเละมิใช่กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะหรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขหรือไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนได้ เหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นจึงเห็นว่า
พฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงแม้จะมิใช่ความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก แต่เห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องดังกล่าวข้างต้น ย่อมมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ฟ้องคดี
จึงถือว่าผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางโดยสภาพ
คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 ลงวันที่ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงมีผลทำให้คำสั่งของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจ (ผู้ฟ้องคดี) พ้นจากตำแหน่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ที่อ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้มีสภาพร้ายแรงโดยสภาพจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่อ้างว่าได้เสนอเรื่องไปยังนายกฯนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้ให้ความเห็นชอบให้ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการนั้น เห็นว่าก่อนที่จะมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายกฯผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เห็นชอบให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการ อีกทั้งกรณีเสนอเรื่องของผู้ฟ้องคดีไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มิใช่เป็นการขอความเห็นชอบก่อนมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการหากแต่เป็นกรณีผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เสนอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.แห่งชาติข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่อ้างว่าผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้มีความไม่เป็นกลาง เพราะได้พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ผู้ฟ้องคดีนั้น เห็นว่าการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นการพิจารณาจากการประเมิน การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีเป็นคนละกรณีกับข้อพิพาทในคดีนี้ ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างอื่นของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่นอกจากนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยเนื่องจากไม่ได้ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
มีประเด็นวินิจฉัยประการสุดท้ายว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในคราวการประชุมมีมติยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
เห็นว่าเมื่อการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3ได้อาศัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการ เมื่อศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน สำหรับกรณีผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เพิกถอนกระบวนการทางปกครองที่เกี่ยวข้องหรือเป็นที่มาของการออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว นั้นเห็นว่ากระบวนการทางปกครองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นที่มาของการออกคำสั่งให้
ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเพียงการเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง จึงยังไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนการทางปกครองต่าง ๆ เกี่ยวข้องหรือเป็นที่มาของการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการ
ส่วนกรณีผู้ฟ้องคดีมีคำขอห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่นำคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปใช้ดำเนินการอย่างใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีนั้น
เห็นว่าเมื่อศาลวินิจฉัยเเล้วว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการและผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้ ซึ่งผลของคำสั่งศาลดังกล่าวทำให้เสมือนหนึ่งว่าผู้ฟ้องคดีไม่เคยถูกคำสั่งให้สำรองราชการและไม่เคยถูกสั่งให้พ้นจากรองผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ กรณีจึงไม่มีคำสั่งในส่วนนี้อีก
พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการ ประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในคราวการประชุม ที่ยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีโดยให้มีผลย้อนหลังนับ แต่วันที่คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3และประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4มีผลใช้บังคับ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 คืนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามกฎหมายและระเบียบกำหนดต่อไปคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ส่วนคำสั่งศาลลงวันที่ 13 ก.ค.64 ให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่387/2564ลงวันที่ 29 ก.ค.64 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีสำรองราชการและประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำเเหน่ง รอง ผบ.ตร.นั้นมีผลต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุดหรือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ข่าวที่น่าสนใจ