สามารถ ยกประวัติศาสตร์ "น้ำท่วม" ซ้ำซาก
สามารถ ร่าย ยกประวัติศาสตร์ "น้ำท่วม" ซ้ำซาก แล้งซ้ำซ้อน ชูโมเดล delta work แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซึ่งเป็นความเดือดร้อนประชาชนให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีการแก้ปัญหา "น้ำท่วม" ในประเทศไทย ว่า "น้ำท่วม" ในประเทศไทยไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่เกิดขึ้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์ถ้าจำกันได้ ปัญหา "น้ำท่วม" เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา แต่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบเหมือนในปัจจุบันเนื่องจากว่าทุกวันนี้เมืองขยายขึ้น และสมัยก่อนคนไทยนิยมปลูกบ้านริมน้ำ ปลูกยกใต้ถุนสูงหาก "น้ำท่วม" ก็ใช้เรือในการสัญจรก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ในทุกวันนี้เมืองไม่ได้ใช้คลองในการสัญจรอีกแล้ว เพราะในทุกวันนี้เราใช้รถยนต์ในการสัญจร ใช้ถนนใช้รถไฟ เมื่อเกิดน้ำท่วมก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องของการใช้เส้นทางสัญจรได้
ตนอยากจะพาย้อนประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานครที่เคยลงไว้เมื่อปี พ.ศ. 2485 ซึ่งในพงศาวดารจดหมายเหตุก็มีลงไว้ว่าเกิด "น้ำท่วม" ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2328 เป็นช่วงต้นของรัตนโกสินทร์และเคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ยาวไปจนถึง พ.ศ. 2485 อาทิ "น้ำท่วม" ครั้งแรก ในพงศาวดารมีการบรรยายว่าน้ำท่วมถึง 8 ศอก 10 นิ้ว ข้าวกล้าได้รับความเสียหาย ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
ข้อมูลจาก หนังสือ “เหตุการณ์น้ำท่วม พ.ศ.2485” ของ “กระทรวงมหาดไทย” และจาก ข้อมูลสถิติ "น้ำท่วม" สำนักระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ เกิดขึ้นอยู่เป็นนิตย์ ตั้งแต่อดีต ยุคตั้งกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน โดยมีครั้งสำคัญๆ ดังนี้
ปีมะเส็ง ปี 2328 ในรัชกาลที่ 1 ปีที่สร้างกำแพงพระนครและพระราชวังกรุงรัตนโกสินทร์เสร็จ ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ระดับน้ำที่สนามหลวงลึกถึง 8 ศอก 10 นิ้ว
เดือนตุลาคม ปี 2362 ในรัชกาลที่ 2 ข้าวยากหมากแพงเหมือนครั้งแรก
เดือนพฤศจิกายน ปี 2374 ในรัชกาลที่ 3 ท่วมทั่วพระราชอาณาจักร และมากกว่าปีมะเส็ง
ปี 2460 ในรัชกาลที่ 6 น้ำท่วมลานพระบรมรูปทรงม้า จนมีกิจกรรมการแข่งเรือ
ปี 2485 เริ่มท่วมตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนถึง 30 พฤศจิกายน 2485 น้ำท่วมมากกว่าปี 2460 เกือบเท่าตัว เนื่องจากฝนตกหนักในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงมาก ไหลล้นคันกั้นน้ำทั้งสองฝั่ง วัดระดับน้ำท่วมที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ 2.27 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง
ปี 2518 พายุดีเปรสชั่นพาดผ่านตอนบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำสูงทางภาคกลางตอนบน จนน้ำไหลล้นเข้าท่วมกรุงเทพฯ
ปี 2521 เกิดจากพายุ 2 ลูกคือ “เบส” และ “คิท” พาดผ่าน และมีน้ำไหลบ่าจากแม่น้ำป่าสัก ทำให้เกิดน้ำไหลบ่าจากทุ่งด้านตะวันออกเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ
ปี 2526 น้ำท่วมรุนแรงมาก เนื่องจากมีพายุพัดผ่านภาคเหนือและภาคกลางช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ประกอบกับมีพายุหลายลูกพัดผ่านกรุงเทพฯ ช่วงเดือนตุลาคม วัดปริมาณฝนทั้งปี 2119 มม. มีปัญหาจราจรที่รถกับเรือใช้เส้นทางเดียวกัน
ปี 2533 ในเดือนตุลาคมพายุโซนร้อน “อีรา” และ “โลล่า” พัดผ่านภาคอีสาน ทำให้ฝนตกหนักในกรุงเทพฯถึง 617 มม.
ปี 2537 เกิดพายุฝนฤดูร้อนถล่มกรุงเทพฯและปริมณฑลเมื่อ 7-8 พฤษภาคม 2537 วัดปริมาณฝนมากที่สุดที่เขตยานนาวา 457.6 มม. เฉลี่ยทั่วเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณน้ำฝน 200 มม. มากที่สุดในประวัติการณ์ เรียกกันว่า “ฝนพันปี” เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่สร้างความเดือดร้อนทั่วกรุงเทพฯ
ข่าวที่น่าสนใจ
- ไม่ทันตั้งตัว "น้ำท่วม" พัดแรงกระแทกบ้านไม้ พังเสียหายทั้งหลัง
- รับมือ "ไฟดับ" อย่างไร ท่ามกลางคำพยากรณ์ กทม.-ปริมณฑล ช่วงฝนตกหนัก 2-8 ต.ค. 64
- "ธนาคารกรุงเทพ" ให้ยืม 150,000 ผ่อนแค่ 4 พัน ไม่ต้องค้ำ สินเชื่อบัวหลวงสุขใจ
- "เจ้าพระยา" ปริ่ม ผู้ว่าฯกทม. สั่ง97สถานีสูบน้ำ รับมือน้ำท่วม
ปี 2538 ฝนตกในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน เนื่องจากพายุหลายลูกพัดผ่าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และมีฝนตกหนักช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เนื่องจากพายุ “โอลิส” ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูง วัดที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ สูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (เท่าน้ำท่วมปี 2485) ทำให้น้ำล้นคันป้องกันริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำสูงถึง 50-100 ซม. น้ำเหนือหลากท่วมอยุธยา ปทุมธานี หมู่บ้านไวท์เฮ้าส์ ตอนเหนือของกรุงเทพฯ นาน 2 เดือน
ปี 2539 มีระยะเวลาท่วมขังตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2539 ตั้งแต่หลังปี 2539 เป็นต้นมา ยังไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในเขตกรุงเทพฯ มีเพียงน้ำท่วมขังไม่นานก็ระบายออกได้สู่ภาวะปกติ
แต่พอปี พ.ศ.2554 ถ้าไม่มีคลองบางซื่อขวางทางน้ำ และใช้ปั้มน้ำสูบออก กรุงเทพมหานครน่าจะจมน้ำอีกเช่นเคย
ดังนั้นตนในฐานะประชาชนคนหนึ่งและได้รับฟังปัญหาจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนซ้ำซากจึงอยากให้รัฐบาลได้ดูต้นแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเคยประสบอุทกภัย "น้ำท่วม" ครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าสองพันคน ในปีค.ศ.1953 มาแล้ว หลังจากนั้นทำให้ประชาชนและภาครัฐร่วมกันจัดตั้ง คณะกรรมการสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เพื่อดำเนินการป้องกันภัยธรรมชาติอันอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต และสานต่อแผนการเดิมที่ชื่อว่า “เดลตาแพลน” ผนวกกับแผนการเพิ่มเติม ที่มีมาตรการรองรับครอบคลุมยิ่งขึ้นกลายเป็น “Delta Works” ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของคนทั้งประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทย
เพราะปัจจุบันเมื่อเกิดปัญหา "น้ำท่วม" อีกครั้งรัฐบาลควรจัดทำ Delta Works ได้แล้ว เพราะจะได้กันน้ำทะเลและน้ำจากแม่น้ำออกจากกัน และจะส่งผลดีต่อชายฝั่ง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ และการทำ Delta Works จะทำให้เกษตรกรมีน้ำใช้ไม่ขาด เพราะ เมื่อเวลาน้ำทะเลหนุนขึ้นมาเกษตรกรก็ไม่สามารถทำการเกษตรได้เนื่องจากน้ำเค็มแต่การทำ Delta Works จะสามารถแยกน้ำเค็มและน้ำจืดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้กระทั่งกรุงเทพมหานครเมื่อปีที่แล้วก็ไม่สามารถใช้น้ำประปาได้เนื่องจากน้ำทะเลหนุนส่งผลให้น้ำประปาเค็ม การที่ประชาชนต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้โดยมีต้นทุนเพิ่มขึ้นถือเป็นการไม่ยุติธรรมกับพี่น้องประชาชน ทุกวันนี้น้ำทะเลหนุนไปถึงปทุมธานี ปราจีนบุรีแล้ว
ถ้าเรามีการแก้ปัญหาพร้อมกับป้องกันในเรื่องของ "น้ำท่วม" และแก้ปัญหาน้ำทะเลหนุนได้ โดยใช้ทำเขื่อนเหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ก็จะมีที่เก็บน้ำจืดขนาดใหญ่ได้ก็จะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งเป็นการแก้ปัญหาอย่าง ยั่งยืน จึงอยากให้ท่านนายกฯกล้าตัดสินใจทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน