ข่าว

"ผู้เลี้ยงหมู" โอดแบกขาดทุนนานกว่า 6 เดือน น้ำท่วมทุบซ้ำ

"ผู้เลี้ยงหมู" โอดแบกขาดทุนนานกว่า 6 เดือน น้ำท่วมทุบซ้ำ

27 ต.ค. 2564

เกษตรกร "ผู้เลี้ยงหมู"ภาคอีสานโอด แบกภาระขาดทุนมานานกว่า 7 เดือน เหตุ PRRS ทำแม่พันธุ์หมูเสียหายทั่วประเทศ ร้อยละ 40 กระทบสุกรขุนมีผลผลิตน้อย น้ำท่วมอีสานทุบซ้ำ โรงฆ่าสัตว์ปิดตัวทำต้นทุนพุ่ง ขณะขายได้ราคาต่ำกว่าต้นทุน

"ผู้เลี้ยงหมู" อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วม ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีสุกร(หมู)เสียหายมากพอสมควร ประกอบกับปัญหาโรค PRRS ที่ระบาดในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลกระทบต่อสุกร

 

โดยเฉพาะในส่วนของแม่พันธุ์ ซึ่งทั่วประเทศเสียหายประมาณ 30 - 40 % ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตสุกรขุนลดลงในสัดส่วนเดียวกัน ขณะที่ก่อนหน้านี้ราคาสุกรลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากในพื้นที่น้ำท่วมติดปัญหาโรงฆ่าสัตว์ปิดตัว ไม่สามารถนำสุกรเข้าโรงฆ่าได้ ประกอบกับปัญหาด้านการเดินทางที่ไม่สะดวก จึงกระทบกับการนำส่งไปยังโรงฆ่า

“ฟาร์มสุกรในภาคอีสานส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์มรายย่อย หากประสบปัญหาเรื่องโรคการกลับมาเลี้ยงใหม่จะทำได้ยาก ฟาร์มต่างๆ จึงยกระดับการป้องกันโรค เพื่อป้องกัน ASF ด้วยการทำระบบ Biosecurity ในฟาร์มอย่างเข้มงวด กลายเป็นต้นทุนแฝง ส่งผลให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น 4-5 บาทต่อกิโลกรัม” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

 

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ในภาวะปกติแม่พันธุ์สุกรทั่วประเทศมีปริมาณ 1.2 ล้านตัว แต่ปัจจุบันมีปริมาณเพียง 7-8 แสนตัว ผลผลิตสุกรขุนที่ออกสู่ตลาดจึงมีจำนวนน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้ราคาขยับทุกพื้นที่ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามต้นทุนการผลิตได้ เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นสัดส่วนหลักในสูตรการผลิตอาหารสัตว์มากถึง 50 % โดยต้นทุนสุกรขุนเฉลี่ยไตรมาสสามของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) อยู่ที่ 80.03 บาทต่อกิโลกรัม

 

ขณะที่ราคาประกาศสุกรหน้าฟาร์มโดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติอยู่ที่ 76-80 บาท ส่วนสุกรขุนในภาคอีสานราคาอยู่ที่ 76-78 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงทั่วประเทศต้องประสบกับภาวะการขาดทุนสะสมมายาวนานถึง 7 เดือนแล้ว

 

ที่สำคัญปัจจุบัน เกษตรกรทั่วประเทศยังคงต้องเฝ้าระวังในการควบคุมและป้องกันโรคสำคัญในสุกรทั้ง ASF และ PRRS อย่างเข้มงวด รวมทั้งเน้นการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าต้นทุนการผลิตต้องสูงขึ้น แต่เพื่อให้ผู้บริโภคมีปริมาณสุกรคุณภาพดีปลอดภัยต่อการบริโภค เกษตรกรทุกคนยินดีที่จะเดินหน้าตามมาตรฐานนี้อย่างเข้มแข็งต่อไป