เขย่าแผนบิ๊กร็อค 4 ไกด์ 3 แนวทางปั้น "คนอาชีวะ"
ร่วมสร้างค่านิยมใหม่ คณะกรรมการปฏิรูปฯ เขย่าแผนบิ๊กร็อค 4 ไกด์ 3 แนวทางปั้น "คนอาชีวะ" เสิร์ฟตลาดแรงงานสายวิชาชีพ หลังพบอัตราคนว่างงานไตรมาสสอง 7.3 แสนคน สวนทางดีมานด์แรงงานภาคอุตฯ จำนวนมาก
“คนอาชีวะ” ถูกโฟกัสจากภาครัฐ-เอกชนมากขึ้น แม้ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ล่าสุดคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ขับเคลื่อนเรื่องนี้ หลังพบตลาดแรงงานต้องการเป็นจำนวนมาก
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ประชากรคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งผลิตแรงงานที่มีทักษะและสมรรถนะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน หรือ “คนอาชีวะ” เพื่อรองรับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
และเพื่อสนับสนุนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าวคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้จัดทำแผนปฏิรูประบบการศึกษาไทยเชิงนโยบาย เรื่อง การจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีและระบบอื่นๆ ที่เน้นการฝึกปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ นำไปสู่การจ้างงานและการสร้างงาน (Big rock 4)ด้วยการกำหนดกรอบการพัฒนาระบบการอาชีวศึกษาใน3ระดับ ดังนี้
ระดับต้นน้ำ ได้แก่ ความพร้อมของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับเจ้าของอาชีพ เพื่อกำหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอน ทั้งภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติ ควบคู่กับการฝึกงานในสถานประกอบการ อีกทั้งความพร้อมของครูผู้สอนในการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ ทั้งด้านวิชาการและการฝึกทักษะ รวมถึงความพร้อมด้านปัจจัยหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน
ระดับกลางน้ำ ได้แก่ กลไกการมีส่วนร่วมระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการ องค์กรวิชาชีพ องค์กรธุรกิจต่างๆ เช่น มาตรการทางภาษี การลดข้อจำกัดในด้านกฎหมาย เพื่อส่งเสริมการจัดอาชีวศึกษาทวิภาคีให้มีความคล่องตัว และสนับสนุนให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การฝึกงานเพื่อสร้างความพร้อมในการทำงานจริง
ระดับปลายน้ำ คือ การเพิ่มระดับคุณภาพของผู้สำเร็จอาชีวศึกษาทวิภาคี ที่นำไปสู่การสะท้อนผลต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ ผู้เรียนอาชีวศึกษามีความพร้อมและความสามารถในการเข้าสู่อาชีพ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีแรงจูงใจในการเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น จากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าตอบแทนหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น โอกาสในการเลื่อนขั้นในสายงาน และการหมุนเวียนการทำงานในสถานประกอบการเพื่อเพิ่มประสบการณ์ เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาในรูปแบบอาชีวศึกษาทวิภาคี จะทำให้ผู้เรียนอาชีวศึกษามีสมรรถนะด้านอาชีพจากการฝึกงานหรือฝึกอาชีพในสถานประกอบการนอกเหนือจากการเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียน ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการสื่อสาร ฝึกปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ทักษะฝีมือ ฯลฯ และมีโอกาสได้งานทำสูงเมื่อจบการศึกษา
นับเป็นรูปแบบที่สถานศึกษาอาชีวศึกษาให้ความสำคัญแต่ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก สำหรับประเทศไทย พบว่ามีการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแล้วร้อยละ30ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในอดีต จึงควรส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้นให้มีคุณภาพ
และขยายวงกว้างในสถานศึกษาอาชีวศึกษาทุกแห่ง ให้สามารถจัดการเรียนการสอนระบบดังกล่าวได้อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการอาศัยความร่วมมือจากภาคต่างๆ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจต่อผู้เรียนเพื่อให้เห็นความสำคัญของกลุ่มสายอาชีพมากยิ่งขึ้นต่อไป
รศ.ดร.สมภพกล่าวต่อว่า สาเหตุที่จำนวนผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่3ทั่วประเทศ และเข้าศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา ยังคงมีน้อยกว่าผู้เรียนที่ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจของตัวผู้เรียนเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยหลายตัวแปร
ทั้งฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ลู่ทางการหางานในอนาคต รวมไปถึงทัศนคติต่อหลักสูตร และค่านิยมของสังคมที่มองว่าเด็กเก่งต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
แม้ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะชี้ให้เห็นว่าอัตราการว่างงานของไทยในไตรมาสที่สองของปีนี้คิดเป็นร้อยละ1.89หรือประมาณ7.3แสนคน ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ1.96หรือประมาณ7.6แสนคนในไตรมาสแรก แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า หลายอุตสาหกรรมยังคงขาดแคลนคนทำงาน
"โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะฝีมือสอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างและตอบโจทย์ในภาคธุรกิจนั้นๆ กลุ่มสายอาชีพหรืออาชีวศึกษาจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน และสำคัญไม่น้อยไปกว่าผู้ที่เรียนจบระดับอุดมศึกษา "รศ.ดร.สมภพ กล่าวทิ้งท้าย