ราชกิจจาฯประกาศ คลายล็อกโควิด-19 เลิกเคอร์ฟิว70 จังหวัดรับเปิดประเทศ
"ราชกิจจาฯ" ออกประกาศข้อกำหนดคลายล็อก โควิดฉบับเต็มพิกัด เลิกเคอร์ฟิว70 จังหวัด พร้อมกำหนดพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยวนั่ง "กินดื่ม ขายเหล้า" ในร้านได้ ต้อนรับการเปิดประเทศ เริ่มมีผล 1 พ.ย.นี้
"ราชกิจจาฯ" ได้ประกาศ ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พรก. สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 37) โดยกำหนดเรื่องการเปิด- ปิด - กิจกรรม ปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เหลือ 7 จังหวัดคงเคอร์ฟิว ห้าทุ่มถึงตีสาม และกำหนดพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว ) 4 จังหวัด กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา ภูเก็ต เปิดให้จำหน่ายและ "กินดื่ม ขายเหล้า"ได้ ต้อนรับการเปิดประเทศ เริ่มมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย.นี้
พร้อมกันนี้ ยังได้ออก คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่ 19/2564 เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นการกำหนดบัญชีรายชื่อจังหวัดในพื้นที่ควบคุมฉบับใหม่
และ คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ที่ 20/2564 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18)
โดยมีเนื้อความระบุว่า ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป เป็นระยะอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นั้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นความท้าทายและเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่ประเทศไทยได้ข้ามผ่าน อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก
โดยอาศัยการประสานความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วน พนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ที่ร่วมดำเนินการและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามที่ได้กำหนดไว้ ประกอบกับอัตราผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ป่วยอาการรุนแรง และผู้เสียชีวิตมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยส่งผลต่อภาพรวมของสถานการณ์ การระบาดในประเทศไทยที่มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดี รัฐบาลโดยข้อเสนอของฝ่ายสาธารณสุข จึงเห็นสมควรให้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดจำแนกตามระดับพื้นที่สถานการณ์
รวมทั้งปรับเกณฑ์ การพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นและรองรับแผนการเปิดประเทศเพื่อรับ นักท่องเที่ยว
ข้อกำหนดฉบับนี้จึงเป็นการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค และรวบรวมบรรดามาตรการควบคุมแบบบูรณาการต่างๆ ที่ได้ประกาศไว้แล้วในข้อกำหนดฉบับก่อนหน้า
โดยจำแนกออกเป็นพื้นที่สถานการณ์ที่แตกต่างลดหลั่นกันตามความรุนแรงของการระบาดของโรค
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ที่จะผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้ ให้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้การดำเนินกิจการและกิจกรรมของบุคคลและสถานที่ต่าง ๆ อยู่ภายใต้เงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรค เพื่อรักษาสมดุลด้านความมั่นคง ทางสาธารณสุขกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนให้ใกล้เคียง กับภาวะปกติ
โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- ปรับพื้นที่ควบคุมและเข้มงวดสูงสุด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด เหลือ 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา
- การห้ามออกนอกเคหสถานสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามบุคคลใด ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยใช้บังคับต่อเนื่องไปสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทุกจังหวัด เป็นระยะเวลาอย่างน้อยสิบห้าวัน (จนถึงวันที่ 15 พ.ย. 2564 ) และให้การกำหนด เงื่อนไขการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่และกรณีของบุคคลที่ได้รับยกเว้นที่ได้ประกาศหรือ ได้อนุญำตไว้ก่อนหน้ำนี้ยังคงใช้บังคับต่อไป
- พื้นที่ควบคุมสูงสุด 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุม 24 จังหวัด เป็น 23 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร พื้นที่เฝ้าระวัง ไม่มี
- พื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว) 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา ภูเก็ต จะเปิดให้มีการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป
คลิกอ่าน ราชกิจจาฯ ฉบับเต็ม ...
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๗)