เพิ่มสิทธิ "บัตรทอง" บอร์ดสปสช. เคาะ คัดกรองธาลัสซีเมีย - ซิฟิลิส ก่อนเกิด
บอร์ด สปสช. เพิ่ม 4 บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นสิทธิประโยชน์ บัตรทอง" คัดกรอง “ธาลัสซีเมีย-ซิฟิลิส” ในคู่ของหญิงตั้งครรภ์ ชี้ต้นทุนต่ำกว่าการรักษา พร้อมหนุนการตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน-บริการสายด่วนเลิกบุหรี่ ลดปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิต
ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 12/2564 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน มีมติเห็นชอบการบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จำนวน 4 รายการ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) โดยมอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ออกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับสิทธิประโยชน์ใหม่ต่อไป
ข้อเสนอสิทธิประโยชน์ 4 รายการดังกล่าว ได้แก่
- การคัดกรองธาลัสซีเมียในคู่ของหญิงตั้งครรภ์
- การคัดกรองซิฟิลิสในคู่ของหญิงตั้งครรภ์
- การตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน
- บริการสายด่วนเลิกบุหรี่
ซึ่งการจ่ายชดเชยบริการจะใช้งบประมาณ จำนวน 32,149,500 บาท โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ยกเว้นบริการสายด่วนเลิกบุหรี่ ให้เริ่มภายหลังจากที่ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองแล้ว
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อเสนอสิทธิประโยชน์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 4 รายการนี้ ได้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ พร้อมกันนี้ได้มีการมอบ สปสช. พิจารณาประเด็นภาระงบประมาณกรณีต้องตรวจยืนยันภายหลังการตรวจคัดกรอง รวมถึงการรักษาต่อเนื่อง และการยืนยันตัวตนกรณีสามี/คู่ของหญิงตั้งครรภ์ ที่ต้องเข้ารับตรวจคัดกรองธาลัสซีเมียและตรวจคัดกรองซิฟิลิส
ในส่วนของสิทธิประโยชน์รายการที่ 1 บริการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมียในคู่ของหญิงตั้งครรภ์ พบว่าต้นทุนการตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมียเท่ากับ 794 บาทต่อคู่ ขณะที่การดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมียอาการรุนแรง จะมีต้นทุนการรักษาคนละ 30,000 บาทต่อปี แม้จะยังไม่พบการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในไทย แต่จากการศึกษาของฮ่องกงพบว่าค่าตรวจคัดกรองและติดตามจะอยู่ที่ 10 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยตลอดอายุขัยจะอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
สิทธิประโยชน์รายการที่ 2 การคัดกรองซิฟิลิสในคู่ของหญิงตั้งครรภ์ พบว่าการตรวจคัดกรองและรับการรักษาก่อนมีบุตร มีต้นทุนต่ำกว่าการตรวจและรักษาเมื่อตั้งครรภ์แล้ว โดยค่าใช้จ่ายในการคัดกรองอยู่ที่ 130-400 บาทต่อครัวเรือน และค่ารักษา 1,500 บาท ในขณะที่การรักษาซิฟิลิสแต่กำเนิด 1 คน จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอก และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเท่ากับ 70,667 บาทต่อครัวเรือน ดังนั้นจึงควรขยายสิทธิเพื่อควบคุมป้องกันโรค ลดค่าใช้จ่ายการติดตามรักษา และลดผลกระทบในอนาคต
ขณะที่สิทธิประโยชน์รายการที่ 3 การตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน (Home Blood Pressure Monitoring: HBPM) เป็นรายการที่ไม่มีภาระงบประมาณ เนื่องจากผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอาจจะตื่นเต้น ทำให้เวลาวัดความดันโลหิตอาจมีค่าความดันสูงได้ หรือที่เรียกว่า White coat hypertension จึงต้องให้เครื่องวัดความดันผู้ป่วยกลับไปวัดเองที่บ้านเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อประเมินค่าความดันโลหิตที่แท้จริง ซึ่งจะเป็นการดูแลผู้ป่วยไม่ให้รับประทานยาเกินความจำเป็น และช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ โดย รพ. สามารถนำไปเป็นงบประมาณจัดซื้อเครื่องวัดความดันให้ผู้ป่วยยืมกลับไปวัดความดันที่บ้านได้ ขณะเดียวกันยังสร้างความตระหนักรู้และการดูแลตนเองให้กับผู้ป่วยที่นำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยสิทธิประโยชน์นี้สามารถดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2565 พร้อมกันทั่วประเทศ
สำหรับสิทธิประโยชน์รายการที่ 4 บริการสายด่วนเลิกบุหรี่ (โทร 1600) พบว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนทางสังคมได้ตั้งแต่ 525 - 10,333 บาทต่อผู้สูบ 1 ราย และสามารถเพิ่มปีสุขภาวะต่อผู้สูบบุหรี่ได้ ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 1 ที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีต้นทุนความสูญเสียจากความเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรต่อนักสูบหน้าใหม่ ถึงประมาณ 85,000 - 158,000 บาทต่อคน
ด้าน นางดวงตา ตันโช ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารจัดการกองทุน กล่าวว่า สิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่เพิ่มเติมทั้ง 4 รายการนี้ มีการกำหนดเป้าหมายบริการในปีงบประมาณ 2565 ในช่วง 9 เดือนจากนี้ ได้แก่
- บริการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย เป้าหมาย 142,000 ราย งบประมาณ 17,041,500 บาท
- การคัดกรองซิฟิลิส เป้าหมาย 148,400 ราย งบประมาณ 7,740,000 บาท
- การตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน เป้าหมาย 495,300 ราย ไม่มีภาระงบประมาณและประหยัดค่ายาในระบบ
- สายด่วนเลิกบุหรี่ เป้าหมาย 245,600 ครั้ง งบประมาณ 7,368,000 บาท รวมงบประมาณดำเนินการใน 4 รายการ เป็นจำนวน 32,149,500 บาท