ดร.สุชัชวีร์ ประกาศชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. อาสาแก้ปัญหาในรอบ 30 ปี
ดร.เอ้-สุชัชวีร์ ประกาศขออาสาแก้ไขปัญหาให้กับชาวกรุงเทพฯ ยืนยันเป็นความตั้งใจตลอด 30 ปี ที่ต้องการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองต้นแบบของอาเซียน มั่นใจเราทำได้ ทั้งการแก้ปัญหารถติด น้ำท่วม มลพิษ เศรษฐกิจตกต่ำและการศึกษาล้มเหลว
กว่า 1 ชั่วโมงเต็มๆ ที่ ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นเวทีและประกาศชัดเจนว่าขออาสาเข้ามาทำงานรับใช้ชาวกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแก้ไขปัญหากทม. ในทุกมิติ หากเขามีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งขึ้นภายในไม่เกินกลางปีหน้า 2565 นี้
ดร.เอ้ พูดถึงปัญหา กทม.ที่อยู่ในความคิดและเป็นความตั้งใจของเขาตลอด 30 ปีว่าจะต้องแก้ไขปัญหาของกรุงเทพฯ ให้ได้ โดยระบุว่ากรุงเทพฯ วิกฤต ถึงเวลาเราร่วมกัน “เปลี่ยนกรุงเทพ” เราทำได้ ซึ่งเขาพบว่า 30 ปีที่ผ่าน คนกรุงเทพยังยิ้มไม่ออก เพราะเจอวิกฤตซ้ำซาก ทั้ง ฝนตก น้ำท่วม รถติด อากาศพิษ เศรษฐกิจเมืองล้าหลัง การศึกษาพัง ยิ่งกว่าเดิม วันนี้ น้ำฝนรอระบาย น้ำเหนือบ่า น้ำทะเลหนุน ไม่รอคิวกันมาแล้ว มันมาพร้อมกัน และผู้เชี่ยวชาญจากทุกสำนักทั่วโลกเห็นตรงกันว่า หาก กทม. ไม่ทำอะไรวันนี้ อีก 10 – 20 ปี กรุงเทพจมน้ำ ไม่มีแผ่นดินส่งต่อให้ลูกหลานแน่ ๆ
พร้อมกับยกตัวอย่างว่า วิกฤตน้ำเหนือท่วมปี 54 น้ำทะเลหนุนท่วมทะลักสะพานซังฮี้ คนกรุงเทพยังไม่เชื่ออีกหรือว่าอนาคต หากเราไม่เปลี่ยนกรุงเทพ เราไม่ฉุดกรุงเทพขึ้นมา กรุงเทพจมน้ำแน่ ส่วนปัญหาปากท้องก็จะไม่มีที่ทำมาหากิน ไม่มีแผ่นดินจะส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต นี่คือความรับผิดชอบของรุ่นเรา วินาทีนี้ปัญหาน้ำท่วม สำคัญที่สุดชี้ชะตาคนกรุงเทพ แล้ว ดังนั้น การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกผู้ว่าฯ แต่เป็นการเลือกอนาคตกรุงเทพฯ อนาคตลูกหลานคนกรุงเทพฯ และคนไทย โดยจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้รอดจากน้ำท่วม หากตนเองได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่เรียนจบเป็นวิศวกรระดับปริญญาเอกด้านดิน ด้านน้ำ เคยเป็นนายกวิศวกรรมสถานฯ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นวิศวกรดีเด่นอาเซียน เป็นวิศวกรอาสาลงพื้นที่ช่วยคนไทย มาแล้วทั่วประเทศ จะช่วยคนกทม. ไม่ได้
ดร.เอ้ กล่าวต่อไปถึงปัญหารถติดว่าพ่อแม่ต้องปลุกลูกตอนตีสี่ตีห้า ลูกต้องโตในรถ ใช้เวลามากกว่า 1 ใน 4 ของชีวิต ทรมานในรถจนเด็กขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดจินตนาการ ขณะที่พ่อแม่ต้องทำงานออกแต่เช้ากลับบ้านค่ำทุกวันเพราะรถติด จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีได้อย่างไร เราต้องสู้ ต้องเปลี่ยน ทำไมกรุงโตเกียวที่มีความหนาแน่นของพลเมือง มากกว่ากรุงเทพฯ 3 เท่าเท่า มีประชากร 40 ล้านคน มากกว่ากรุงเทพฯ 3-4 เท่า ผลิตรถยนต์ได้เอง รถราคาถูก ทำไมรถไม่ติดเท่ากรุงเทพฯ แสดงว่าเปลี่ยนกรุงเทพให้รถไม่ติดหนักขนาดนี้ เราก็ทำได้ หรือ กรุงลอนดอนที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้าน เท่ากรุงเทพฯ วันนี้คนขี่จักรยานไปทำงานแล้ว เราก็ทำได้ หากมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. ท่านจะได้เห็นทางจักรยานลอยฟ้า ครั้งแรกในกทม.
สำหรับปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งอยู่กับเราทุกวัน ลองวัดฝุ่นที่ป้ายรถเมล์ ไม่ใช่ค่ำพบในฤดูหนาว และเราตายผ่อนส่ง ซึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบของคนไม่มีกี่คน กรุงปักกิ่งเคยเจอฝุ่นพิษหนักกว่าเรา จนแพ้การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2000 มาแล้ว แต่เขาเอาจริง วันนี้แก้ฝุ่นพิษได้แล้ว และเรารู้ทั้งรู้อยู่ว่า PM2.5 ในกรุงเทพฯ มาจากรถบรรทุก รถเมล์ควันดำ ดังนั้น ตนเองจะไม่ยอมให้รถควันดำ มาทำร้ายพ่อแม่ มาฆ่าลูกหลานคนกรุงเทพฯ อีกต่อไป เราจะเปลี่ยนกรุงเทพให้อากาศบริสุทธิ์ เราทำได้
ส่วนปัญหาเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เมืองที่เคยมีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดในโลก เพราะประทับใจในรอยยิ้ม วันนี้ไม่เหลือรอยยิ้มแล้ว เพราะไม่มีอะไรใหม่ ไม่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมทั้งอดีตและร่วมสมัย กำลังจะกลายเป็นเมืองเฉา ที่ถูกทอดทิ้ง คนจน ถึงคนชั้นกลางตายเรียบ คนจนไม่มีที่ทำมาค้าขายยาก ไม่มีโอกาสเข้าถึงเศรษฐกิจยุคดิจิตอล คนชั้นกลาง รายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หาของกินราคาถูกใกล้ที่ทำงานลำบากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ตนเอง เคยทำงานให้ธนาคารโลก ศึกษาเศรษฐกิจของเมืองไทย รู้เลย เศรษฐกิจเมือง ต้องทันสมัย ไม่เช่นนั้น ไม่มีใครมาลงทุน เขาไปสิงคโปร์ ไปกัวลาลัมเปอร์ หากเศรษฐกิจเมืองยังล้าหลัง เราแข่งขันไม่ได้ ที่จริง คนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก เราจะเปลี่ยนเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ให้ทันสมัย สร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจเมืองดิจิตอล
ดร.เอ้ กล่าวถึงการศึกษาของกทม. โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่เขาแค้นที่สุดเพราะคะแนนการอ่าน คะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ของเด็กโรงเรียน กทม. ต่ำที่สุดในประเทศไทย ต่ำกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับเมืองอื่น เด็กโรงเรียนสังกัดเมืองหลวง ทั้งกรุงปักกิ่ง กรุงโตเกียว กรุงโซล สิงคโปร์ ไทเป ได้คะแนนสูงลิบลิ่ว ติดอันดับโลก ก็เลยไม่มีใครอยากส่งลูกเรียน โรงเรียน กทม. ทั้ง ๆ ที่เรียนฟรี และอยู่หน้าบ้าน ต้องตื่นตี 4 เสียตังค์ส่งลูกเรียนข้ามเมือง เพราะไม่เชื่อคุณภาพโรงเรียน กทม. และ ครูกทม. น่าเห็นใจที่สุด แทบไม่ได้รับการดูแลเลย ตนเองเป็นครู พ่อแม่เป็นครู ตนเองเข้าใจดี มีโอกาสเป็นผู้ว่ากทม.เมื่อไหร่ จะเปลี่ยนโรงเรียน กทม. พัฒนาครู ให้คนแย่งกันเข้าเรียนโรงเรียนกทม. ให้ได้ ให้มันรู้กันไป เราทำได้
ขณะที่ กทม.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนมี 292 แห่ง แต่ยังขาดการดูแลอย่างมีคุณภาพ ไม่อยากเชื่อว่าหลายเขต ทั้งบางกอกใหญ่ บางแค บางบอน พระนคร สัมพันธวงศ์ ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเลย แล้วอนาคตกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ไหน เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็กกว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว “ผมเองขออาสา สัญญาจะดูแลลูกหลานคนกรุงเทพทุกคน เหมือนลูก จะเป็นผู้ว่า การศึกษา กทม.คนแรก เราทำได้ ครับ !!!”
นอกจากนี้ ดร.เอ้ ยังกล่าวถึงแนวนโยบายที่จะดูแลผู้สูงอายุ คนชราในกทม. ด้วยว่า คนกรุงเทพฯ หลายครอบครัว ที่มีผู้สูงอายุที่บ้าน พ่อแม่ของตนเองอายุ 85 ปีแล้ว ต้องไปหาหมอแทบวันเว้นวัน พ่อแม่เราต้องตื่นตีสาม ไปรับบัตรคิวตอนตีสี่ครึ่ง รอเจาะเลือดตอนเช้า ไปทานข้าวรอพบหมอช่วงบ่าย กลับบ้านเย็น หลายคนช่วยตัวเองไม่ได้ ลูกหลานต้องลางานทั้งวันไปส่ง ขาดรายได้ แต่ต้องลำบาก สู้ทน แต่ศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน หน้าปากซอย 68 แห่งทั่วกรุงเทพ คน กทม. ส่วนใหญ่แทบไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่ไม่เชื่อ ไม่มีหมอ ไม่มีเครื่องมือแพทย์เพียงพอ เรื่องนี้ตนเองขออาสา มีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ จะยกระดับศูนย์สาธารณสุขเป็นศูนย์การแพทย์ทันที มีหมอ มีเครื่องมือแพทย์ มีเครื่องฟอกไต ทุกศูนย์ใกล้บ้าน และยกระดับโรงพยาบาล 11 แห่งของ กทม. เป็นโรงพยาบาลผู้เชี่ยวชาญใกล้บ้าน ไม่ต้องไปแออัดที่ศิริราช จุฬาฯ หรือ รามาฯ ตนเองสร้างโรงพยาบาลมาแล้ว และทำเครื่องมือแพทย์ช่วยคนไทยทั่วประเทศสู้โควิดมาแล้ว ถึงเวลามาดูแลคนกทม. “ผมขออาสาดูแล คุณพ่อคุณแม่ของคนกทม. เราทำได้ ครับ !!!”
ดร.เอ้ ย้ำว่า วันนี้เรารอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลา มาร่วมกัน เปลี่ยนกรุงเทพเป็น... เราต้องเปลี่ยนกรุงเทพเป็นเมืองสวัสดิการ ที่ดูแลพลเมืองทุกคนอย่างมีคุณภาพ ย้ำว่าอย่างมีคุณภาพ ทั้งการจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขนส่งมวลชน ถนน ฟุตบาท ทั้งการจัดการศึกษาฟรี ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ และการดูแลรักษาพยาบาลตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงสูงอายุ ย้ำอีกครั้งว่าอย่างมีคุณภาพ การเข้าถึงสินค้าอาหารการกินได้ง่ายในราคาถูกและปลอดภัย เป็นเมืองที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ ทำมาหากินได้ดี เดินทางสะดวก เข้าถึงทุกพื้นที่ทุกคนเท่าเทียม มีสวนสาธารณะขนาดย่อมทั่วกรุงเทพฯ คนเดินได้ สัตว์เลี้ยงเดินดี ใกล้บ้าน และที่สำคัญคือกรุงเทพต้องใช้กฎหมายเท่าเทียม เข้มข้น เพื่อดูแลทุกคนเท่าเทียม
เราต้องเปลี่ยนกรุงเทพให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีและวิศวกรรม มาแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ซ้ำซาก เช่น ปัญหาน้ำท่วม รถติด ฝุ่นพิษ PM2.5 เพราะการคิดแบบเดิม ทำงานแบบเก่า หากจะแก้ปัญหาได้ คงจะแก้ได้มาหลายสิบปีแล้วจริงไหม? ตนเองเชื่อว่าทีมเจ้าหน้าที่กทม. ต้องเรียนรู้ได้ พร้อมทำงานแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยี มาบริการประชาชน
เครื่องสูบน้ำของกทม.ต้องทำงานอัตโนมัติทันทีที่ฝนตก ประตูระบายน้ำต้องทำงานประสานกันด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเสี่ยงรอเจ้าหน้าที่มาเปิดปิด ที่ไม่เคยได้ผล การแก้วิกฤตน้ำท่วมในอนาคตต้องทันสมัย ใช้แก้มลิงใต้ดินแบบกรุงโตเกียว และถึงเวลา ผนึกกำลังกับจังหวัดปริมณฑล สมุทรปราการ สมุทรสาคร วางแผนประตูกั้นน้ำทะเลหนุนแบบเนเธอแลนด์ หรือ แบบเมืองเวนิส ถึงเราจะรอด
ระบบสัญญาณจราจร ต้องทำงานอัตโนมัติ ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI เหมือนสิงคโปร์ โตเกียว ปักกิ่ง นิวยอร์ก ลอนดอน ไม่ต้องใช้บริการตำรวจจราจรในป้อมตำรวจ เพราะมีความแม่นยำกว่า แก้ปัญหารถติดได้เบ็ดเสร็จ
อินเทอร์เน็ตต้องฟรี ส่งเสริมการเรียนรู้ ทำมาหากิน เข้าถึงโอกาสในการค้าขายออนไลน์ และที่สำคัญ ใช้เตือนภัยพลเมือง เรื่องฝนตก น้ำท่วม และรายงานฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่อยู่เสี่ยงกันไปวัน ๆ เหมือนที่เป็นอยู่ ที่น้ำทะลักตรงสะพานซังฮี้ ไม่มีระบบเตือนภัยชาวบ้าน ใช้พื้นที่คุ้มค่า ทั้ง 4 มิติ กว้างคูณยาวบนพื้นดิน เพิ่มพื้นที่จราจร มีทางจักรยานปลอดภัยลอยฟ้า ทำพื้นที่ใต้ดินได้ทำมาค้าขาย ทำเหมือนสิงคโปร์ โตเกียว กรุงโซล ไม่ต้องไปเบียดเบียนฟุตบาททางเดิน ที่ทุกเมืองเขาทันสมัยใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้ว เมืองอื่นเขาทันสมัย เขาทำได้ กรุงเทพ เราก็ทำได้ เช่นกัน
“ทุกท่านครับ คนเราเกิดมาทั้งที เราต้องกล้าฝัน ต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯ เป็นเมืองต้นแบบของอาเซียน นักท่องเที่ยวมาแล้วต้องมาอีก ไม่มีเบื่อ และมาแล้วจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเดิม เหมือนคนไทยชอบไปเที่ยวกรุงโตเกียว ไปกี่ครั้งก็ไปไม่มีเบื่อ เพราะว่าเขามีเทศกาลทุกเดือน กระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง ทั้งได้สร้างความสุขแก่พลเมือง ตอนนี้ กรุงเทพฯ ดูเฉา ๆ ไป จริงไหม แล้วเราจะเปลี่ยนกรุงเทพ เป็น Bangkok City of Joys มีเทศกาลทุกเดือน เราทำได้” ดร.เอ้ กล่าวอย่างมั่นใจ
ดร.เอ้ กล่าวด้วยว่า ที่กรุงโตเกียว คนแก่ คนพิการได้รับการดูแล นั่งรถเข็นก็ไปได้ทุกที่ รถเมล์ รถไฟฟ้า สะดวกปลอดภัย ต่างจากกรุงเทพฯ ตอนนี้ อย่าว่าแต่ผู้พิการเลย คนปกติยังหกล้ม รถมอเตอร์ไซค์ชนคนบนฟุตพาท รถเมล์ รถแท็กซี่ เพื่อผู้พิการก็ไม่เพียงพอ ต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้ทุกคนเข้าถึงเท่าเทียม เป็นต้นแบบของอาเซียน เราทำได้
กรุงเทพมีฝุ่นพิษ PM2.5 มากที่สุด เพราะรถสาธารณะ รถขนส่ง ปล่อยควันพิษควันดำ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนกรุงเทพด้วยพลังงานสะอาด ให้เป็นต้นแบบของอาเซียน กทม.ที่มีความพร้อม เราไม่ทำก่อน แล้วรอจะให้ใครทำ
และ คนกรุงเทพหลายคนเชื่อเหมือนกับตนเองว่า วันหนึ่งกรุงเทพฯจะจัดงานโอลิมปิกได้ เพราะโอลิมปิกจะเปลี่ยนเมือง จากเมืองในอดีต สู่เมืองแห่งอนาคต จากเมืองที่เคยมีปัญหา สู่เมืองที่ทันสมัย เป็นเมืองต้นแบบ ยกตัวอย่างที่กรุงปักกิ่งโอลิมปิก เปลี่ยนอากาศพิษเป็นอากาศสะอาด กรุงโซลโอลิมปิก เปลี่ยนแม่น้ำเน่าเสีย เป็นแม่น้ำใสสะอาด กรุงโตเกียวโอลิมปิก เปลี่ยนเมืองอดีต เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่ทันสมัยขวัญใจของคนทั่วโลก แล้วกรุงเทพฯ โอลิมปิก 2036 จะเกิดอะไรขึ้น? ทางเดินฟุตพาทจะเรียบสนิท ผู้พิการ ผู้สูงอายุ จะเดินทางอย่างปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นสายไฟฟ้าลงดินทุกถนน ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จะได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ อากาศจะบริสุทธิ์ไร้ PM2.5 รถยนต์รถเมล์ไฟฟ้า จะให้บริการไปได้ทุกที่ จะเปลี่ยนกรุงเทพทั้งที ต้องทำให้มันสุด จริงไหมครับ เราทำได้
ในตอนท้าย ดร.เอ้ ขออาสาเข้ามาทำงานเป็นผู้ว่าฯ กทม. โดยเขาย้ำถึงความตั้งใจตลอด 30 ปีเต็มว่า ตนเองเป็นหนี้คนไทย ต้องตอบแทนบุญคุณ เพราะใช้เงินภาษีประชาชนไปเรียนต่อเมืองนอก จนจบปริญญาเอกมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ได้โอกาสทำงานที่มีเกียรติ ได้โอกาสสร้างชีวิตที่ดี ได้รับเกียรติยศระดับโลก ได้เรียนรู้กับผู้นำระดับโลก จากนี้ไป กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตที่สุด แล้วถ้าเรา พอมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ช่วยได้ ทั้งยังหนุ่ม ยังมีพลังกาย พลังสติปัญญา เราจะนิ่งเฉยได้อย่างไร ตนเองจึงต้องกล้าอาสา กล้าออกมาสู้ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ ตอบแทนบุญคุณคนไทย
“ผมเป็นนายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย จากภาษีประชาชน ก็ขอเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้อง หนุ่มสาวนักเรียนทุนคนรุ่นใหม่ทุกคน ที่มีทั้งความรู้ มีความสามารถ และเป็นคนดี ต้องกล้าเสียสละ กล้าก้าวออกมาจากพื้นที่สบายตน เพื่อออกมาทำงานที่ยาก ที่ท้าทาย เพื่อตอบแทนสังคมไทย ที่สำคัญ ผู้ว่าฯ กทม. คือพ่อบ้านและนายช่างใหญ่ ในคนเดียวกัน ต้องใช้ทักษะ ประสบการณ์ รอบด้านกว่างานใด ๆ ทำให้ตลอด 30 ปีเต็ม ผมได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์ ได้ทำงานจริงในทุกมิติของการแก้ปัญหาและพัฒนากรุงเทพ
ตลอด 30 ปี ผมได้แสวงหาวิธีการแก้ปัญหาของกรุงเทพ จากเมืองทั่วโลก ได้ไปพบผู้ว่ากรุงโตเกียว เพื่อศึกษาวิธีการแก้ปัญหา นำมาพัฒนากรุงเทพ ขอโอกาส ได้ใช้พลังความรู้ ประสบการณ์ทั้งหมด ทุกด้าน เปลี่ยนกรุงเทพ เราทำได้ ครับ และผมแม้จะเกิดที่ชลบุรี เรียนที่ระยอง แต่เป็นคนกรุงเทพ มีชีวิตอยู่ที่นี่ มีครอบครัวที่ ที่ต้องทนทุกข์กับปัญหาซ้ำซาก เหมือนท่านทุกคน ผมจึงขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ที่เราพ่อ เป็นแม่ ที่รักและห่วงลูก ผมขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ที่เราเป็นลูกคนหนึ่ง มีพ่อแม่สูงอายุ ต้องดูแล
ผมขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพฯ ที่เราต้องทำงานหนัก ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว และผมขอเป็นตัวแทน เด็กรุ่นใหม่ ลูกหลานคนกรุงเทพฯ ที่ต้องมีอนาคต และที่กำลังต้องเจอ วิกฤตกรุงเทพฯ กำลังจะจมน้ำ ลูกหลานจะไม่มีพื้นดินอยู่อาศัย ทำมาหากินได้ในวันข้างหน้า วันนี้ วินาทีนี้ ผม เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผมตั้งใจ ผมเตรียมพร้อมมา 30 ปี ขออาสาเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ผมขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมเดินทางแห่งความหวัง ครั้งสำคัญครั้งนี้ เพื่ออนาคตลูกหลานเรา เราจะคืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพ ผมเชื่อมั่น เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้ครับ”
สำหรับในช่วงแรกของการเปิดตัวของ ดร.เอ้ นั้นเขาได้เล่าประสบการณ์การเรียนในวัยเยาว์ที่เขาสอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนและของจังหวัดระยองในระดับชั้น ม.3 แต่พอจะสอบเข้าเรียนต่อ ม.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ ในกทม.กลับสอบไม่ติด ทำให้ชีวิตของเขาต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับทุนช้างเผือกเข้าเรียนวิศวกรโยธา ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และในช่วงทำงานวิจัยก่อนจบการศึกษา เขาได้ออกแบบคิดค้นการก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินเพื่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน จนนำเข้าก้าวสู่ความสำเร็จในการได้ไปศึกษาต่อที่สถาบัน MIT และเรียนจบปริญญาเอกถึง 2 ใบ ทั้งด้านวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม
ส่วนบรรยากาศการเปิดตัวดร.เอ้ ในวันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์นั้น มีความคึกคักมากเพราะมีผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและอดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ และเลขาธิการพรรค นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค นายสุทัศน์ เงินหมื่น และนายปริญญ์ พาณิชภักดิ์ เข้าร่วมงานด้วย พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ก.ทั้ง 50 เขตของพรรค และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนมาก