ธนาคารหมูหลุมภูสิงห์ ทางออกทางเลือกแก้วิกฤติ "หมู" ขาดตลาดและราคาแพง
ธนาคารหมูหลุมภูสิงห์ ทางออกทางเลือกแก้วิกฤติ "หมู" ขาดตลาดและราคาแพง โดยการผลิตหมูลูกผสม 3 สายพันธุ์ เหมยซาน ดูรอกเจอร์ซี่ และหมูป่า ปีละประมาณ 30 คู่ แล้วส่งมอบให้เกษตรกรนำไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง ครอบครัวละ 1 คู่
วิกฤติ "ราคาหมู" มีชีวิตราคาตกต่ำในช่วงปี พ.ศ. 2562 ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูขาดทุน ด้วยเพราะอาหารหมูมีราคาแพง เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดมีราคาแพงและนำเข้าลำบากเนื่องจากสถานการณ์โควิด ส่วนมันสำปะหลังเกิดการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรกรลดการผลิต
ขณะที่โรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู (African Swine Fever :ASF) เกิดระบาดทำให้หมูตายเป็นจำนวนมาก แม่หมูลดน้อยลงกว่าครึ่งทำให้ลูกหมูออกสู่ตลาดน้อยลง ทั้งที่ในอดีตประเทศไทยสามารถเลี้ยงหมูได้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศและส่งออกได้
จากสถาณการณ์ดังกล่าวทำให้ผลผลิตหมูหายไปจากระบบกว่า 60 % หรือกว่า 1.2 ล้านตัว
ในเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 "ราคาหมู" มีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ย 105 บาท / กก. ทำให้เนื้อสดหมูยืนที่ราคา 200 บาท / กก. ซึ่งกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคในวงกว้าง นับเป็นความผันผวนของสถานการณ์ และปัจจัยเสี่ยงที่ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเจอทางตันก็ย่อมมีทางออก
นายสมชาย เชื้อจีน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่าทางศูนย์ฯ ได้ทดลองผสมพันธุ์หมูได้ลูกผสมหมูภูสิงห์ที่เกิดจากลูกผสม 3 สายพันธุ์ ระหว่างหมูเหมยซาน (แม่) ดูรอกเจอซี่และหมูป่า (พ่อ)
โดยนำจุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์มารวมกัน คือ หมูเหมยซาน เลี้ยงง่ายโตไวให้ลูกดกและถี่โดยออกลูกปีละ 2 - 3 ครั้ง ๆ ละ 15 – 20 ตัว เลี้ยงลูกเก่งกินอาหารที่คุณภาพต่ำได้ ทนต่อสภาพอากาศหนาวชื้นของที่สูงได้ดีเป็นหนุ่มสาวเร็ว เมื่อายุประมาณ 4 - 6 เดือน จะมีเนี้อเพิ่ม ส่วนหมูป่า เลี้ยงง่าย แข็งแรง เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว 8 - 10 เดือน ตั้งท้องนาน 101 - 130 วัน ออกลูกครั้งละ 3 - 12 ตัว ลูกหย่านมเมื่ออายุ 3 - 4 เดือน และหมูพันธุ์ดูร็อก (Duroc) หมูพื้นเมืองของอเมริกามีกล้ามเนื้อแข็งแรงเลี้ยงง่ายโตไวอัตราการแลกเนื้อสูง
ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ฯ ได้ดำเนินกิจกรรม "ธนาคารหมูหลุม"ตั้งแต่ปี 2563 โดยการผลิตหมูลูกผสม 3 สายพันธุ์ (เหมยซาน ดูรอกเจอร์ซี่ และหมูป่า) ปีละประมาณ 30 คู่ แล้วส่งมอบให้เกษตรกรนำไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง ครอบครัวละ 1คู่ โดยเกษตรกรจะคืนต้นทุนให้กับทางศูนย์ฯ เพื่อนำไปให้เกษตรกรรายอื่น ๆ ต่อไปในระบบธนาคารหมูหลุม โดยเกษตรกรต้องเลี้ยงในระบบหลุมเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลหมูภายใต้การกำกับและคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ อย่างเคร่งครัด ซึ่งใน1 หลุมสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้ประมาณ 750 กิโลกรัมต่อรุ่น นายสมชาย เชื้อจีน กล่าว
ทางด้านนางพนาไพร หอมทรง เกษตรผู้เลี้ยงหมูหลุม เปิดเผยว่าอาชีพหลักคือทำสวน และปลูกพริก แตงกวา ถั่วฝักยาว และปลูกผักสวนครัว ทั่วไป แล้วนำพืชผักไปขายที่ตลาดทุกวัน ตอนเย็นกลับมาก็เลี้ยงหมู ผักหากวันใดเหลือจะเอามาเลี้ยงหมูโดยเลี้ยงแบบ "หมูหลุม" และเอามูลไปทำปุ๋ยหมักใส่ผักที่ปลูก "หมูหลุม" เลี้ยงง่ายไม่สิ้นเปลืองลงทุนน้อย
ครั้งแรกทางศูนย์ฯ ภูสิงห์ อบรมการเลี้ยงให้พร้อมมอบลูกหมูให้ 1 คู่ ตอนนี้ออกลูก 7 ตัว โดยจะขายลูกหมูหลังออกลูกเลยเมื่อมีพ่อค้ามารับซื้อ โดยจะขายคู่ละ 1,700 บาท แต่ถ้าเลี้ยงต่อ 1 – 2 เดือน จะขายได้ราคาตัวละ 1,200 -1,300 บาทต่อตัว โดยพ่อค้ามารับซื้อไปทำหมูหัน นับเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้เป็นอย่างดีเพราะเฉลี่ยแล้ว 4 เดือนก็ขายได้เงิน นางพนาไพร หอมทรง พร้อมเปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า ปัจจุบันราษฎรในพื้นที่ได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนปลูกผักปลอดภัยมีสมาชิก 25 คน ส่วนมูลหมูจะตัก 3 เดือนครั้งได้มูลประมาณ 10 กระสอบ ส่วนใหญ่จะใส่บำรุงแปลงผักที่ปลูก แต่อีกส่วนจำหน่ายเป็นปุ๋ยคอกกระสอบละ 35 บาท มีเกษตรกรมาซื้ออย่างต่อเนื่อง
“รู้สึกภูมิใจที่พระพันปีหลวงได้มอบโครงการภูสิงห์นี้ให้ประชาชนมีกินมีใช้อยู่อย่างพอเพียง มีรายได้เสริมบางรายก็ได้เงินเป็นค่าเทอมลูก ทำให้ชีวิตไม่ขัดสน เมื่อก่อนเราไม่เคยมีความรู้ เมื่อเข้าไปที่โครงการฯ ทำให้ได้รับความรู้มากมาย และดีใจที่รัชกาลที่ 10 พระองค์ได้ดำเนินรอยตามรัชกาลที่ 9 รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่พระองค์ท่านดูแลประชาชนอย่างพวกเรา นางพนาไพร หอมทรง กล่าว
ทั้งนี้ต้นทุนในการเลี้ยง "หมูหลุม" ขนาด 2 หลุมต่อครอบครัวจะอยู่ที่ 14,000 บาท / ปี ผลผลิตเฉลี่ย 24 ตัว / รุ่น ปีละ 2 รุ่น จะได้ลูกหมูประมาณ 48 ตัว / ปี มูลค่าประมาณ 48,000 บาท / ปี ได้ปุ๋ยอินทรีย์ ประมาณ 4 ตัน / รุ่น รวม 8 ตัน มูลค่าประมาณ 24,000 บาท รวมกำไรทั้งปี ประมาณ 58,000 บาท / ปี นับเป็นรายได้เสริมของเกษตรกรและช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมี
ขณะที่ปริมาณหมูเข้าสู่วงจรการตลาดเพิ่มขึ้น ยังผลให้ผู้บริโภคมีเนื้อหมูบริโภคในราคาต่ำตามมาด้วยนับเป็นการการสืบสาน ต่อยอด ขยายผล ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อความผาสุกของพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีของพระองค์
สำหรับศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษนั้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรบริเวณอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันพิจารณาจัดตั้งศูนย์พัฒนา การเกษตรแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ ซึ่งประกอบอาชีพทำนาไม่ได้ผล และให้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดำเนินงานในลักษณะเช่นเดียวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำพระราชเสาวนีย์มาดำเนินการ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร. ) ทำหน้าที่ประสานงานในการดำเนินงานจวบจนปัจจุบัน