บิ๊กเด่น สั่งช่วยเหลือเหยื่อ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" 48 คน ที่กัมพูชา
รอง ผบ.ตร. สั่งช่วยเหลือเหยื่อ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" 48 คน เตรียมรับตัวจากกัมพูชา เหยื่อเผยถูกหลอกทำงานเป็นแอดมินเพจเว็บพนันรายได้ดี
วันนี้ (22 ก.พ.65) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ ผอ.PCT เปิดเผย กรณี คนไทย 48 คน ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ประเทศกัมพูชา และ มีการบังคับข่มขู่ ใช้ไฟฟ้าช็อต ให้อดข้าว อดน้ำล่าสุดขอความช่วยเหลือ มายังศูนย์ "PCT" ผ่านทางคุณฐาปนีย์ เอียดศรีไชย จนสามารถช่วยเหลือออกมาได้แล้วนั้น
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้เร่งปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนัก โดยเรื่องนี้ได้รับการประสานจากคุณฐาปนีย์ เมื่อวันที่ 17 ก.พ.65 ว่ามีคนไทย 32 คน ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นต์เตอร์ ในเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา จึงประสานไปยัง พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เลาหพิบูลย์กุล ผู้ช่วยทูตตำรวจไทยประจำประเทศกัมพูชา เพื่อประสานขอกำลังตำรวจกัมพูชา เข้าไปช่วยเหลือ
ด้าน พ.ต.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า หลังได้รับการประสานจาก รอง ผบ.ตร. ตนได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อ โดยเมื่อวันที่ 18 ก.พ.65 เจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นอาคารไชน่า ทาวน์ 20 กว่าหลัง ตั้งใจกลางเมืองพระสีหนุ พบ เหยื่อทั้ง 32 คน ถูกควบคุมอยู่ที่ชั้น 1 อาคารหลังที่ 15 เป็นอาคารสูง 7 ชั้น นอกจากนี้ยังพบเหยื่ออีกหลายคน อยู่ในอาคารใกล้เคียง รวมทั้งสิ้น 48 คน จึงได้นำตัวเหยื่อทั้งหมดไปยังสถานฑูตไทยในกรุงพนมเปญ เพื่อดำเนินการขอส่งกลับประเทศไทย ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากต้องทำเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทยของประเทศกัมพูชา
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสัมภาษณ์เหยื่อผ่านทางออนไลน์ ส่วนใหญ่ให้การไปในแนวทางเดียวกันว่า ช่วงเดือน ส.ค.64 ที่ผ่านมา พวกตนหางานทำในอินเตอร์เน็ต พบเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาว่าต้องการพนักงานแอดมิน อายุตั้งแต่ 18-30 ปี ทำหน้าที่พูดคุยกับลูกค้า รายได้ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน มีที่พัก ค่ารักษาพยาบาล แต่ต้องเดินทางไปทำงานที่ประเทศกัมพูชา โดยทางแอดมินเว็บจะดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทาง และวีซ่า ให้ทั้งหมด พวกตนจึงได้ทักแชทเข้าไปสอบถาม ทางแอดมินแจ้งว่าจะมีรถไปรับไปส่งที่ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อไปถึงกลับนำไปส่งไว้ในป่าอ้อย ถูกยึดโทรศัพท์ และให้แบกสัมภาระเดินข้ามไปยังฝั่งประเทศกัมพูชา หลังจากเดินทางไปถึงแล้ว จะถูกกักตัวตามมาตรการทางสาธารณสุข จากนั้นจะถูกส่งตัวไปยังอาคารไชน่าทาวน์ ต่อไป
นายหนุ่ม (นามสมมติ) เหยื่อรายหนึ่งเปิดเผยกับ รอง ผบ.ตร. ทางออนไลน์ ขณะอยู่ในความดูแลของสถานฑูตไทยในกรุงพนมเปญ ว่า เมื่อเดินทางมาถึงตึกไชน่าทาวน์ จะมีบอส (หัวหน้า)เป็นคนจีน โดยมีคนไทยที่พูดภาษาจีนได้เป็นล่าม สั่งให้พวกตนทำงานเป็นแอดมิน คุยกับลูกค้าที่สนใจซื้อสินค้า คล้ายๆ แอ๊พช็อบปี้ มีสคลิปให้คุยและตอบลูกค้า เชิญชวนให้ลูกค้าสมัคร user และเติมเงินเข้ามา และให้สั่งซื้อสินค้า จากนั้นก็จะส่งหน้าที่ต่อให้กับพนักงานอีกกลุ่มหนึ่ง โดยพวกตนไม่ทราบว่าเขาดำเนินการต่ออย่างไร
ต่อมาช่วงเดือน ก.ย.64 พวกตนรู้สึกว่างานที่ทำไม่ตรงปก คือไม่ตรงตามที่ทางแอดมินเว็บ กล่าวอ้างไว้ และค่าตอบแทนที่ได้รับเพียงเดือนละ 300 ดอลล่าห์ หรือประมาณ 10,000 กว่าบาทเท่านั้น จึงได้ปรึกษาผ่านล่ามคนไทย ว่าอยากขอกลับเมืองไทย ให้ช่วยคุยกับบอสให้หน่อย ปรากฏว่าทางบอสแจ้งว่า หากจะกลับต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 6,000 ดอลล่าห์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 200,000 บาท มิฉะนั้นจะขายต่อให้กับบริษัทอื่น ในราคา 2,000-3,000 ดอลล่าห์ จากนั้นก็ให้ รปภ.ควบคุมตัวพวกตนไว้ เพราะรู้ว่าพวกตนไม่เต็มใจทำงานให้แล้ว โดยให้อดอาหาร มีการใช้ไฟฟ้าช็อต และข่มขู่ว่า หากหนีออกไปจะให้ รปภ.เอาปืนยิงให้ตาย พวกตนกลัวจึงได้พยายามโพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านทุกช่องทาง จนกระทั่งมีตำรวจกัมพูชา เข้ามาช่วย สภาพจิตใจตอนนี้คือ คิดถึงบ้าน อยากกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาอย่างใกล้ชิดในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อาศัยประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานปฏิบัติการ กรณีนี้หลังจากที่เหยื่อทั้ง 48 คน ถูกส่งกลับมาประเทศไทยแล้ว ก็ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไปว่า ใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้ร่วมกระทำผิด เพราะถ้าสมัครใจไปทั้งที่รู้ว่าไปหลอกคนไทย ก็อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ฐานค้ามนุษย์ และฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จะต้องสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริงของเหยื่อแต่ละรายว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดหรือไม่ อย่างไร หรือมีเหตุที่ไม่ต้องรับโทษเพราะกระทำด้วยความจำเป็น จึงอยากให้รีบเดินทางกลับประเทศไทย และมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยประสานผ่านสถานฑูตไทยในกัมพูชา หรือผู้ช่วยฑูตไทย ฯ และฝากเตือนคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ อย่าไปเชื่อคำโฆษณาเกินจริง เพราะส่วนใหญ่จะไปทำงานผิดกฎหมาย รายได้ก็น้อยไม่ตรงตามที่บอก และอาจถูกบังคับ ต้องไถ่ตัว ถ้าท่านทำงานที่ผิดกฎหมายก็จะมีความผิด ควรปรึกษาหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงแรงงาน ก่อน และเตือนประชาชนที่อยู่ในประเทศไทย ต้องรู้เท่าทันอาชญากรรมทางออนไลน์ที่มาในรูปแบบต่างๆ อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยรู้จัก อย่าโอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัวกับใครง่ายๆ หากพบเบาะแสสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ สอท. ได้ที่หมายเลข 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 เฉพาะเวลาราชการ หรือเว็บไซต์ https://pct.police.go.th/