
อักขราทรเปิดใจ9ปีศาลปค.เกษียณไม่เล่นการเมือง
อักขราทร เปิดใจ 9 ปี ศาลปกครอง ชี้หลังเกษียณไม่เล่นการเมืองแต่ไม่ทิ้งบ้านเมือง ย้ำตัดสินตามหลักประโยชน์ส่วนรวม ยึดความสมดุล วิเคราะห์ บ้านเมืองเลยจุดมีเหตุผล ทุกคนต้องมีสติ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 มี.ค.สำนักงานศาลปกครองได้จัดงานแถลงข่าวต่อส่อมวลชน เนื่องในโอกาสครบรอบ 9 ปี ศาลปกครอง โดย นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า กว่าที่ศาลปกครองจะโตมาถึงขนาดนี้ ผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน แนวโน้มคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาลจากนี้ คงไม่ต่างไปจากที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินกระบวนการพิจารณาได้พยายามเร่งให้รวดเร็ว และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมถึงความน่าเชื่อถือถึงคำพิพากษา
ทั้งนี้ คดีที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และเศรษฐกิจของชาติ ทางศาลได้ยึดมั่นในกฎหมาย เพราะเชื่อว่า จะทำให้เกิดความเป็นธรรมให้กับคนในสังคม หากการวินิจฉัยทำให้เกิดความสมดุลได้ โดยเฉพาะคดีสิ่งแวดล้อมของมาบตาพุด ที่ไม่ใช่คดีเดียวที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เคยมีคดีอื่น ๆ มาแล้ว การจะตัดสินอะไรต้องดูทั้งสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และต้องดูระหว่างสิทธิของเอกชนที่กฎหมายรับรองกับประโยชน์สาธารณะด้วย
“การตัดสินคดีเช่นนี้ ต้องยึดมั่นกฎหมาย ถือกฎหมายเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะแน่นอนว่า คนที่เขียนกฎหมายย่อมเห็นปัญหารอบด้านอยู่แล้ว การที่เราตัดสิเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ได้รังแกนักลงทุนเพื่อเอาใจชาวบ้าน เราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องวางตัวอยู่ในความถูกต้อง ไม่คิดเอาใจใคร ต้องยึดกฎหมาย ทำให้เกิดสมดุล"
ส่วนการแก้ปัญหานั้น หากพร้อมใจกันแก้ปัญหาก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ถ้าเราทำสิ่งที่ควรจะทำก็แก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก เรื่องนี้ง่ายกว่าที่คิดเยอะ นอกจากนี้ เท่าทีคุยกับหลายคน ก็มีเสียงตอบรับค่อนข้างดี มีแต่พวกเราเท่านั้นที่มองแปลก ๆ เพราะโครงการแบบนี้ ไปทำที่บ้านเขาก็คงไม่ได้
ต่อเรื่องอนาคตของศาลปกครอง นายอักขราทร กล่าวว่าเราทำหน้าที่ดีที่สุด ไม่ค่อยห่วงพนักงานศาล เพราะสังคมจับตามองการทำงานอยู่ หน้าที่ของเราคือให้ความยุติธรรม ถือเป็นบุญกุศลกว่าปล่อยนกปล่อยปลา แต่ในรูปแบบหากเราพิจารณาให้ถูกต้องรวดเร็วและยุติธรรม และดำรงจุดมุ่งหมายเรื่องความสุจริตได้ เขาก็ไม่กังวล
ขณะที่เรื่องการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนนั้น เขามองว่า ต้องซื่อสัตย์ แต่ด้วยองคาพยพของศาลเป็นที่จับจ้องและถูกวิจารณ์ได้ตามที่กฎหมากำหนด ก็เป็นเรื่องดี และการทำงานเป็นรูปบแบบองค์คณะทำให้ความเป็นอัตตาของตุลาการไม่แก่กล้าเกินไป ซึ่งเรื่องของอัตตาสังคมไทยคิดว่า สิ่งที่ตัวเองคิดและพูดอยู่ตลอดเวลา หากลดละเลิกได้สังคมไทยก็จะดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองกรณีที่ถูกโจมตีว่า สองมาตรฐานและความเชื่อมั่นต่อศาลในขณะนี้อย่างไร นายอักขราทร กล่าวว่า ปัญหาเกิดจากองค์ความรู้ไม่ถึงระดับ เมื่อก่อนเราก็พูดเรื่องนิติรัฐ ก็จำขี้ปากฝรั่งมา ต่อมาก็ใช้คำว่า ตุลาการภิวัฒน์ ที่จริง ๆ ไม่มีอะไรเลย เพราะเป็นการตีความปกติของตุลาการต่อกฎหมายมหาชน มาถึงวันนี้ก็ใช้คำว่า สองมาตรฐาน แต่เขามองว่า วันนี้ ที่ไม่มีคือการบังคับใช้กฎหมาย และก็ไปอ้างกันเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ตรงนี้มันน่าห่วง
"จริง ๆ แล้ว เวลานี้ อาจจะเลยจุดของการมีเหตุมีผล จนใคร ๆ ก็พูดว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แต่เราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ที่พูดกันว่า รักชาติ ก็อยากจะถามว่า เราทำอะไรที่ทำให้ชาติไม่ล่มจมบ้าง ถ้าทำได้จะช่วย หากเราไปทำตามกระแสก็จะเละลงทะเลกันหมด อย่างหนังสือพิมพ์ ผมเห็นว่า มีอิทธิพลสูงมากกับความคิดของประชาชน และต้องไม่ใส่ความเห็นไปพร้อมกับเนื้อข่าว แต่หนังสือพิมพ์ก็ควรที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการมีความเห็นของตัวเองที่จะบอกกับประชาชนว่า สิ่งนี้ถูกหรือผิด"
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ศาลจะเข้ามาช่วยได้อย่างไร นายอักขราทรกล่าวว่า ศาลมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถจะหยิบเรื่องขึ้นมาพิจารณาเองได้ สิ่งที่ทำได้คือเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ก็ควรได้รับการพิจารณาในมาตรฐานเดียวกัน ทำอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็ว และจบได้ในเวลาที่เหมาะสมเป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าพอศาลตัดสินมันไม่จบ ซึ่งในวงการผู้พิพากษาก็มองกันว่า ตรงนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร การพิจารณาเป็นการใช้ความเห็นของตุลาการตามตัวบทกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเคลื่อนไหว ไม่ยอมรับคำตัดสิน และคดียึดทรัพย์ยังไม่ยุติ นายอักขราทร กล่าวว่า คดีนี้จบไปแล้วเมื่อศาลพิพากษา ส่วนที่จะไปยื่นศาลโลก เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยมีประวัติ หรือความรู้ในเรื่องนี้ แต่หากจะอุทธรณ์ภายใน 30 วันหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"การไม่ยอมรับคำตัดสิน เรื่องนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมก็ได้ชี้แจงแล้ว เมื่อศาลตัดสินแล้ว ก็ต้องยอมรับ"
เมื่อถามถึงการทำให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรม นายอักขราทร กล่าวว่า ขณะนี้เลยจุดที่จะพูดด้วยเหตุผลเชิงกฎหมาย และความถูกต้องแล้ว คงพูดกันไม่รู้เรื่อง อย่างที่มีคนบอกว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่เราก็ไม่อยากให้เกิด แต่ทุกคนต้องมีสติ คนที่บอกว่ารักชาติ จะทำอย่างไรให้บรรลุการรักชาติได้ เขาเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาจะผ่านพ้นไปได้ ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ไม่ใช่การประนีประนอม เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายและความถูกต้อง ที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือนักกฎหมายมีหน้าที่ต้องอธิบายเหตุผล ตุลาการไม่มีหน้าที่มาขยายความหรืออธิบายคำพิพากษาของตนเอง
ส่วนการที่มติคำพิพากษาไม่เอกฉันท์ นายอักขราทร ยืนยันว่า เป็นเรื่องปกติ ที่การตัดสินจะไม่เอกฉันท์ เขาจึงมีองค์คณะขึ้นมาพิจารณา เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่มีปัญหา
นายอักขราทร ยังปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลฎีกา โดยระบุว่า ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย การจะถอดถอนก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่เห็นว่า ศาลได้ชี้แจงถึงเหตุผลอย่างชัดเจนแล้ว การที่เขาจะอุทธรณ์ถ้ามีช่องทางกฎหมายก็ทำไป แต่ไม่คิดว่า การไม่ยอมรับจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบศาล เพราะถึงเวลาต้องดูในเหตุผล และความถูกต้องของตัวบทกฎหมาย เหตุและผลทั้งหมด อยู่ในคำพิพากษาหมดแล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลต้องนั่งอธิบาย หากไม่เชื่อศาล จะเชื่อใคร เรื่องนี้คงเป็นระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเครื่องคงจบลงได้ อยากให้ทุกคนตั้งสติ และถ้ารักชาติ ก็ต้องคิดว่า ทำอย่างไรจะบรรลุการรักชาตินั้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ศาลให้การยอมรับประกาศ คปค. ไม่ถูกต้อง และทำให้ ประกาศ คปค.มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ นายอักขราทรกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามนักวิชาการ ว่าปฏิวัติหมายถึงอะไร ถ้าสำเร็จหมายถึงอะไร ถ้าไม่สำเร็จต้องติดคุกอย่างไร และปฏิวัติแล้วถูกต้องตลอดไปหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ทางวิชาการมีคำอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ระบุว่า มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ขอไม่มีความเห็น และยังคิดไม่ออก
นายอักขราทร กล่าวยืนยันว่า หลังจากที่เขาจะเกษียณในเดือน ต.ค. นี้ ยังไม่ได้คิดว่า จะทำอะไร แต่คงจะหาความสุขส่วนตัวที่พึงมี แต่ทั้งนี้ ก็จะไม่ละทิ้งบ้านเมือง ส่วนที่เคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้คิดหรือตั้งความหวังที่จะเป็น
"ตำแหน่งดังกล่าว เป็นตำแหน่งสำคัญไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ๆ คนอยากเป็นมีเยอะ แต่ต้องดูว่า เป็นได้หรือไม่ เพราะคนที่จะเป็นได้ต้องอยู่ในระดับ state man ที่คิดถึงเรื่องประโยชน์ส่วนรวมและมีทีมเวิร์กที่ดี ส่วนเรื่องจะเล่นการเมืองหรือไม่ ยืนยันว่า หลังหมดวาระในปีนี้ จะไม่เล่นการเมืองอย่างเด็ดขาด"