กรมหม่อนไหม คิดค้นนวัตกรรมการทำเส้นไหม เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้ "ผ้าไหมไทย"
กรมหม่อนไหม คิดค้นนวัตกรรมการทำเส้นไหมยืนจากไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้ "ผ้าไหมไทย" พร้อมถ่ายทอดให้เกษตรกรสามารถทำได้เองไม่ยุ่งยากและสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ในกระบวนการทอผ้าประกอบด้วยเส้นพุ่งและเส้นยืนนำมาทอเป็นผืนผ้า ซึ่งในการผลิตเส้นไหมเพื่อใช้ในการทอผ้านั้น เส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านส่วนใหญ่จะนำมาทำเป็นไหมเส้นพุ่งเพื่อการทอผ้า เนื่องจากเส้นใยมีความยาวค่อนข้างสั้น คือประมาณ 400 – 800 เมตร แต่นำมาทำเป็นเส้นยืนสำหรับทอผ้าได้ยาก
กรมหม่อนไหมจึงร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายสุเมธ นวเศรษฐวิสูตร และนายส่งรักษ์ เต็งรัตน ประเสริฐ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เขต 4 นครราชสีมา พัฒนาเทคนิคและวิธีการสาวไหมและตีเกลียว เพื่อให้สามารถทำเส้นไหมยืน และเส้นไหมพุ่งจากไหมไทยพื้นบ้านด้วยวิธีการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรสามารถทำได้เอง
เส้นไหม ที่สาวได้มีลักษณะกลมมีการรวมตัวของเส้นไหมดี เส้นไหมมีความแน่น ไม่แตก เมื่อนำไปทอผ้าจะได้ผ้ามีคุณภาพดีมาก เพิ่มประสิทธิภาพการสาวไหมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพเส้นไหมโดยรวมของประเทศเพื่อเป็นวัตถุดิบในการทอ"ผ้าไหม"ได้ "ผ้าไหม" คุณภาพ เป็นการสร้างอัตลักษณ์ให้กับไหมไทย และสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเป็น "ผ้าไหม" ลักษณะพิเศษที่มีความนุ่มพลิ้วได้
สำหรับกระบวนการทำเส้นไหมเส้นยืนนั้น มีเทคนิคและวิธีการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกรังไหม นำรังไหมรังดีที่ได้จากการคัดเลือกรังมาลอกปุยก่อนที่จะนำไปต้มรังและนำรังไหมมาต้ม ซึ่งขั้นตอนนี้ มีความสำคัญมาก ต้องทำให้ถูกวิธี เนื่องจากวิธีการต้มรังไหมมีผลต่อประสิทธิภาพการสาวไหมและคุณภาพของเส้นไหม จากนั้นนำเส้นไหมมาตีเกลียวด้วยอุปกรณ์ที่พัฒนาจากเครื่องสาวไหม UB2 เพื่อตีเกลียวให้ได้ตามความต้องการที่ใช้งาน เช่น ทำเส้นยืน ตีเกลียว 400 - 450 เกลียว/เมตรหรือ 300 - 350 เกลียว/เมตร ทำเส้นพุ่ง 250 - 300 เกลียว/เมตร หรือน้อยกว่านั้น
จุดเด่นของกระบวนการนี้ คือ สามารถนำรังไหมรังเหลืองจากไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านมาทำเป็น เส้นไหม ได้ตามความต้องการ ทั้งไหมเส้นพุ่งและไหมเส้นยืน เส้นไหมที่สาวได้มีลักษณะกลม มีการรวมตัวของเส้นไหมดี เส้นไหมไม่แตก สามารถนำมาทอ "ผ้าไหม" คุณภาพสูง หรือผ้ากิโมโนได้
นอกจากนี้ เกษตรกรสามารถทำได้เอง ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน และสามารถสาวเส้นและตีเกลียวได้ปริมาณมากกว่าวิธีเดิม อีกทั้งยังสามารถควบคุมขนาดและคุณภาพของ เส้นไหม ได้ตามความต้องการและตามมาตรฐานที่กำหนดด้วย