"พระย้อย" แจงปมพฤติกรรมไม่เหมาะสม อ้างไปพบแพทย์กับสีกาภรรยา
"พระย้อย" เปิดใจชี้แจงปมพฤติกรรมไม่เหมาะสม ยอมรับ ออกไปกับสีกาภรรยา เหตุต้องไปพบแพทย์ ลั่นพร้อมสึก แต่ไม่ปาราชิกเหมือน "อดีตพระกาโตะ"
6 พ.ค.2565 จากกรณี นายพงศกร จันทร์แก้ว หรือ อดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดัง ยอมรับว่า ได้โอนเงินจำนวน 6 แสนบาทให้กับ "พระคนกลาง" เพื่อนำไปมอบให้ "สีกาตอง" สำหรับ และ สื่อมวลชน ในพื้นที่เพื่อปิดข่าวฉาวของตัวเอง โดยเงินดังกล่าวเป็นเงินของวัดเพ็ญชาติ กระทั่ง อดีตพระกาโตะ นำเงินดังกล่าวมาคืนผ่านคณะสงฆ์ กรรมการวัดเ และนายก อบต.กะเปียด
ล่าสุดวันนี้ พระธวัฒน์พล หรือ "พระย้อย" อายุ 35 ปี พร้อมด้วย นายไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช อุปนายก/ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางเข้าให้ปากคำกับ พ.ต.ท.อาคม จอนนุ้ย รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.ถาวร จันทรพงษ์ สว.(สอบสวน) สภ.เมือง ในคดีที่นายยุทธนา แต่งวงศ์ นายกสมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช แจ้งความดำเนินคดีกับสมีกาโตะ ที่กล่าวระบุผ่านรายการโหยกระแสว่าได้จ่ายเงินให้นักข่าวเพื่อปิดการเปิดโปงคลิปฉาวกามกับสีกาตองเรียบร้อยแล้ว
“พระย้อย” ได้ให้สัมภาษณ์ เปิดใจ กรณีที่มีชาวบานร้องเรียนพฤติกรรมของ พระย้อย ว่ามักจะมีสีกามาหาที่วัดและขับรถพาออกไปนอกวัดเป็นประจำ ซึ่งพระย้อย กล่าวตอบว่า สีกาคนดังกล่าวคือ “ครูบี” ภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันถูกต้องก่อนที่ จะมาบวชเป็นพระ ส่วนสาเหตุที่ พระย้อย มาบวชเพราะต้องการอุทิศบุญกุศลให้ลูกสาวที่เสียชีวิตในท้องด้วยวัย 5 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียใจเป็นอย่างมาก จนทำให้สติแตก ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เมื่อบวชเป็นพระใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทำให้อาการดีขึ้น สติกลับมาเป็นปกติ ซึ่งทางครูบี ภรรยา รวมถึง ญาติ ๆ จึงอนุญาตให้บวชต่อไปเรื่อย ๆ โดยตนตั้งใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและบ้านเมือง แต่ตนเองมีปัญหาเรื่อง ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค สำไส้อักเสบ ไต้ติ่งอักเสบ และแตกจะต้องเข้ารับการผ่าตัด ต้องเข้า รพ.บ่อยครั้ง รวมทั้งโรคกระเพาะ ตนอยู่คนเดียวจะมีก็เฉพาะโยมครูบีคนเดียวที่คอยดูแลช่วยเหลือ แต่โยมครูบีเองก็มีภาระที่ต้องไปสอนหนังสือใน อ.ฉวาง ระยะทางเกือบ 100 กม. และต้องดูแลปรนนิบัติคุณแม่อายุเกือบ 80 ปี และยังมีโรคประจำตัวมากหลายโรคเช่นกัน เมื่อตนมีอาการป่วยก็ต้องรอครูบีกลับจากโรงเรียนขับรถมาถึงใกล้ค่ำ ก่อนพากันไปโรงพยาบาลกว่าจะกลับมาส่งที่วัดบางครั้งก็คอนข้างดึก แต่ทุกครั้งอาตมามีพยานหลักฐานทั้งหมด ทั้งใบรับรองแพทย์ ยาที่แพทย์จัดให้
“อาตมารู้ตัวเองดีทุกอย่างว่าอาตมาบวชเพื่ออะไร ตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้ลูกที่เสียชีวิต จึงไม่เคยคิดว่าจะสร้างยาปกรรมอะไรซ้ำเติมวิบากรรมที่ผ่ามนมาอีก พร้อมให้สื่อมวลชนตรวจสอบได้ทุกเรื่องทุกประเด็น อาตมายอมรับว่าอาตมาและโยมครูบี นั่งรถไปด้วยกันสองต่อสองเป็นเรื่องไม่เหมาะ เป็นโลกาวัชชะ แต่เป็นความจำเป็นจริง ๆ อาตมาคิดและสำนึกอยู่เสมอว่าหากอาตมากระทำกระทำผิดวินัยร้ายแรงถึงขั้นเสพเมถุนต้องปาราชิกเหมือนพระกาโตะ อาตมาไม่ต้องให้มีใครมาจับสึกอาตมาจะเปลื้องจีวรสึกด้วยตนเองทันที และทุกคนสามารถตรวจสอบประวัติอาตมาได้จาก ผกก. รอง ผกก.และตำรวจทั่วไปได้ตลอดเวลา เพราะอาตมามีจิตอาสาเคยเป็น อส.ตร.ชุดปราบปรามยาเสพติดช่วยเหลือตำรวจมาก่อน” พระย้อย กล่าว
พระย้อย กล่าวอีกว่า กรณีที่ สื่อนำภาพครูบี นั่งบนโซฟาที่บ้านเช่าตอนที่เป็นฆราวาส และเช่าบ้านใน อ.ฉวาง เมื่อมาบวชครูบีได้กลับมาอยู่บ้านที่ อ.นอนสพิบูลย์กับแม่ จึงนำโซฟาชุดดังกล่าวมาไว้ในกุฏิ แต่สื่อนำเอาภาพสองภาพที่ต่างเวลาต่างสถานที่กันมาประติดประต่อว่าครูบีมานั่งบนโซฟาในกุฏิ เพื่อให้ดูว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และอาจจะสื่อให้เห็นถึงการกระทำผิดวินัยร้ายแรงถึงขั้นเสพเมถุน
ไพฑูรย์ อินทศิลา/นครศรีธรรมราช