ข่าว

เครือข่าย"องค์กรวิชาชีพครู"กว่า 300 องค์กร หนุนยกเลิกคำสั่งที่ 19/2560

เครือข่าย"องค์กรวิชาชีพครู"กว่า 300 องค์กร หนุนยกเลิกคำสั่งที่ 19/2560

23 พ.ค. 2565

แถลงการณ์ ค.อ.ท. เครือข่าย "องค์กรวิชาชีพครู" มากกว่า 300 องค์กร หนุนมติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 3 ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 19/2560 ยุบ ศธจ.และ ศธภ.

จากมติที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (สภาร่วม ส.ส.-ส.ว.) เสียงข้างมากเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 ได้พิจารณามาตรา ๓ มีมติให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 5ฉบับ ซึ่งรวมถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 เมษายน 2560

 

ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ทำหน้าที่แทน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา (ห้ามไม่ให้มี ครู/ผอ.ร.ร.เป็นบอร์ดใน กศจ.) และให้มีศึกษาธิการจังหวัด และศึกษาธิการภาค (ศธจ./ศธภ.) โดยตัดอำนาจการบริหารงานบุคคลหรืออำนาจการบังคับบัญชาจากผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) ที่มีต่อครูและผู้บริหารโรงเรียน ไปเป็นอำนาจของ ศธจ.นั้น


เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) ซึ่งประกอบด้วยเครือข่าย องค์กรวิชาชีพครู มากกว่า 300 องค์กรทั่วประเทศ ได้ออกแถลงการณ์เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) เรื่องสนับสนุนมติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.พ.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...พิจารณาในมาตรา 3 ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ดังกล่าว

โดยระบุ "เห็นด้วยอย่างยิ่งกับมติดังกล่าวนี้ เพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 19/2560 ได้ใช้บังคับมามากกว่า 5 ปี แล้วมิได้ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการได้อย่างมีประสิทธิภาพให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ออกคำสั่งแต่อย่างใด

 

แต่กลับทำให้การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคสะดุด ฉุดรั้งเสียโอกาสในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น บั่นทอน บอนไซ และด้อยค่าหน่วยงานหลักที่ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยตรง

 

การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ จากการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 19/2560 อยู่ในขณะนี้ ที่ได้ยื่นหนังสือให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ได้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยให้มีหน่วยงานของผู้ได้รับการกระทบได้ยังคงอยู่ในพระราชบัญญัติการศึกษาต่อไป

 

และได้ยื่นหนังสือให้กับนายตวง อันทะไชย ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...เพื่อให้ทบทวงมิติดังกล่าวนี้ ไม่ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 19/2560 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

 

ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย โดยแบ่งแยกอำนาจเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลขององค์กรที่ใช้อำนาจของ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ อันเป็นหลักประกันสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนที่ไม่ให้อำนาจทั้ง 3 ฝ่ายนี้ไปรวมกันอยู่ที่คนๆ เดียว หรือองค์กรเดียวกัน

การที่ผู้ได้รับผลกระทบได้ไปเรียกร้องพยายามให้ฝ่ายบริหารให้เข้ามาแก้ไขให้ยังคงคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 19/2560 ต่อไป จึงเป็นความพยายามที่จะให้อำนาจฝ่ายบริหารเข้ามาแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ จึงผิดหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ให้แบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย เป็นอิสระเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย หรือ ค.อ.ท.

 

ถึงแม้ฝ่ายบริหารจะเป็นเจ้าของร่างพระราชการการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ...แต่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจการออกกฎหมายปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้อยู่ในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับหลักการในวาระที่ 1และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ

 

การออกมาเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ให้ทบทวนมติดังกล่าวนั้น ค.อ.ท.เข้าใจในความวิตกกังวลของผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าวของผลการลงมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...

 

แต่ ค.อ.ท.มีความเห็นว่า มติดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นที่ยุติว่า จะกระทบกับองค์กรหรือสถานภาพของผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพราะจะมีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ออกตามความมาตรา 106 แห่งร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งพระราชบัญญัตินี้จะไปกำหนดอำนาจหน้าที่ให้กับผู้ได้รับผลกระทบให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และยังเป็นโอกาสที่จะกำจัดอุปสรรคสำคัญของการใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 19/2560 ตลอดเวลา 5ปีที่ผ่านมา โดยรัฐสภา

 

ดังนั้น เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายองค์วิชาชีพครูทั่วประเทศมากกว่าสามร้อบองค์กร จึงขอเรียกร้องดังต่อไปนี้

 

1.ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ได้เคารพในหลักการแบ่งอำนาจเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลของการใช้อำนาจทั้ง 3 ฝ่าย ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยให้อิสระกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ของฝ่ายนิติบัญญัติทุกขั้นตอน

 

ทั้งนี้ เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้กับเด็กและเยาวชนรุ่นหลังได้เป็นแบบอย่างของการเคารพการใช้อำนาจอธิปไตยของทั้ง 3 ฝ่ายอย่างเคร่งครัด

 

2.เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) สนับสนุนมติเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้ ที่มีมติในมาตรา3ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 19/2560 เพราะเป็นมติที่ยังสามารถหาช่องทางอื่นให้กับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบที่ออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ ไปบัญญัติไว้ที่พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการได้

 

ทั้งนี้ เพื่อความสง่างามของระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นต้นแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้เป็นบรรทัดฐานของการเคารพเสียงข้างมากต่อไป"