"สตช." ปัดเฝ้าระวัง ชาวอิหร่าน-มุสลิม ด้านสถานทูตฯออกประนามสื่อไทยแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจง ไม่เคยสั่งการให้เฝ้าระวังกลุ่มบุคคลสัญชาติอิหร่านและคนไทยมุสลิมชีอะห์ ที่อาจแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ ด้านสถานทูตฯออกหนังสือประนามสื่อไทยนำเสนอข่าวแล้ว
จากกรณีมีสื่อสังคมออนไลน์อ้างอิงเว็บไซต์สำนักข่าวแห่งหนึ่ง ระบุ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อสั่งการลับไปยังหน่วยงานในสังกัดให้เฝ้าระวังกลุ่มบุคคลสัญชาติอิหร่านและคนไทยมุสลิมชีอะห์ที่อาจแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศไทย ในช่วงการประชุมเอเปคที่จะมีขึ้นปลายปีนี้
พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ/รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้สั่งการให้เฝ้าระวังกลุ่มบุคคลดังกล่าว พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้กองการต่างประเทศตรวจสอบยืนยันกับประเทศที่เกี่ยวข้องผ่านช่องทางตำรวจสากลเกี่ยวกับการจับกุมคนร้ายที่ประเทศอินโดนีเซียในปี 2564 ผลปรากฏว่า ทางการตำรวจอินโดนีเซียไม่ได้มีการประสานข้อมูลการข่าวกับทางการตำรวจไทย ในการขยายผลถึงบุคคลอื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2022 ปลายปีนี้ ย้ำว่า กรณีที่มีข้อมูลข่าวสารที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างไม่เลือกปฏิบัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและความสัมพันธ์ระหว่างมิตรประเทศเป็นสำคัญ
ขณะที่เฟซบุ๊ก IR Iran Embassy in Bangkok Thailand ซึ่งเป็นของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความและรูปภาพ ระบุ
"สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในกรุงเทพฯปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและขอประนามข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลของสื่อในกรุงเทพฯเกี่ยวกับพลเมืองอิหร่าน หลังสื่อไทยเผยแพร่ข่าวเท็จนี้
ทางเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านได้ดำเนินการติดตามประเด็นนี้ผ่านช่องทางการทูต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่การเมืองและความมั่นคงของไทยยืนยันข้อเรียกร้องนี้ ทางสถานเอกอัครราชทูตฯขอย้ำว่าความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและราชอาณาจักรไทยมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเริ่มต้น อิหร่านต้องเผชิญกับการรณรงค์หาเสียงดังกล่าวในขณะที่จ่ายราคาสูงในการต่อสู้กับการก่อการร้าย รวมถึงการเอาชนะ ISIS ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมีอิทธิพลต่อการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติของอิหร่าน ซึ่งจะอยู่ภายใต้การสอดส่องของ IAEAโดยสมบูรณ์ ไซออนิสต์และสื่อตะวันตกบางรายได้เผยแพร่ข้อกล่าวหาปลอมเกี่ยวกับอิหร่าน
และทางสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านซึ่งมีประสบการณ์เฉพาะตัวและมีประวัติความร่วมมือสูงกับประเทศอื่นในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ได้เสนอความร่วมมือในเรื่องนี้แก่ประเทศที่เป็นมิตรรวมถึงราชอาณาจักรไทย
โดยทางสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พิจารณาการเผยแพร่ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลดังกล่าวเป็นการปลอมแปลงข้อมูล โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และมิตรระหว่างอิหร่าน-ไทยและทางสถานทูตฯจะยังคงพยายามส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศของเรา"