สสจ.ขอนแก่น พบ หลัง "ปลดล็อกกัญชา " มีปชช.แพ้ เข้ารักษากว่า 100 ราย
รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น เผยหลัง "ปลดล็อกกัญชา" แล้ว ปรากฏว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากอาการแพ้แล้วกว่า 100 ราย
17 มิ.ย.2565 เภสัชกร เชิดชัย อริยานุชิตกุล เภสัชกรเชี่ยวชาญ (ด้านเภสัชสาธารณสุข)รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการ ปลดล็อกพืชกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ให้โทษประเภท 5 ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุข จ.ขอนแก่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการมีการลงพื้นที่ให้ความรู้และรณรงค์ ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นได้มีการใช้พืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ อย่างถูกวิธีและเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขภาพที่ดีโดยได้เน้นย้ำในเรื่องของการใช้ กัญชา เพื่อรักษาโรค ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ และไม่ควรใช้เพื่อความบันเทิงและสันทนาการ เช่น การสูบ เพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และ ผิดพ.ร.บ.การสาธารณสุข มีโทษทั้งจำคุกและปรับ
ซึ่งนอกจากการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ให้ความรู้กับประชาชน ในแต่ละอำเภอแล้วยังได้ประสานไปยังโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ในทุกอำเภอทั้ง 26 อำเภอ ได้จัดทำป้ายไวนิลขนาดใหญ่ รวมทั้งป้ายรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องประโยชน์ และโทษของการใช้พืชกัญชาติดไว้ที่ด้านหน้าโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนซึ่งขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวอีก ว่าหลังจากการปลดล็อคกัญชา พบว่าในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นมีประชาชน เข้ารับการรักษาอาการแพ้กัญชาที่ผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มกว่า 100 ราย โดยทั้งหมดมีอาการไม่รุนแรงมาก มีเพียงอาการวิงเวียนศีรษะ และคลื่นไส้เท่านั้นและมีป่วยทางจิตเวช จากการใช้สารเสพติด 1 รายที่การใช้กัญชา โดยการสูบที่มีอาการกำเริบซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ส่งตัวไปรักษาเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่จำนวนผู้ที่ลงทะเบียนจดแจ้ง เพื่อปลูกกัญชาผ่าน 3 ช่องทางคือ แอปฯ “ปลูกกัญ”, เว็ปไซต์ของ อย.และให้สสจ.หรืออปท.ลงทะเบียนจดแจ้งให้นั้น จากการรายงานข้อมูลเมื่อวันที่ 14 มิ.ย .ที่ผ่านมาพบว่า ในพื้นที่ขอนแก่นมีจำนวน 21,432 คนแบ่งเป็นจดแจ้งเพื่อใช้ในครัวเรือนจำนวน 15,498 รายจดแจ้งเพื่อใช้ในทางการแพทย์เช่นแพทย์แผนไทยจำนวน 1,326 ราย จดแจ้งเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์จำนวน 642 รายและจดแจ้งเพื่อใช้ในงานวิจัยจำนวน 6 ราย