"สันติ" ปัดลงมือฆ่า 2 สามีภรรยา อ้างโดน "มาเฟียไต้หวัน" บีบให้ลวงมา
"สันติ" ผู้ต้องหาคดีฆ่า 2 สามีภรรยาที่ไต้หวัน ให้การภาคเสธ อ้างปมขัดแย้งแก๊ง "มาเฟียไต้หวัน" ติดเงินกว่า 10 ล้าน รับเป็นคนลวงให้มาถูกฆ่า ก่อนถูกโยนเป็นแพะรับบาป
17 มิ.ย.2565 ความคืบหน้าภายหลัง นายสันติ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” คดีฆ่า 2 สามีภรรยายัดรถหรูที่ไต้หวัน เข้ามอบตัวกับทางตำรวจ ล่าสุด นายสันติ ถูกนำตัวมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อสอบปากคำ โดยมีล่าสุด มีรายงานว่า จากการสอบสวน นายสันติ ให้การภาคเสธ พร้อมเปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ น.ส.พจนีย์ หรือ มี่ อายุ 35 ปี และ นายประเสริฐ อายุ 32 ปี ผู้เสียชีวิตเป็นคนพาตนไปแนะนำให้รู้จักกับ แก๊งมาเฟียไต้หวัน กลุ่มหนึ่ง โดยจะให้ตนเป็นคนดูแลประสานงานต่าง ๆ จึงอยากให้รู้จักกันไว้
จากนั้นไม่นานทราบว่าผู้เสียชีวิต กับกลุ่มมาเฟียไต้หวัน เริ่มมีปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ผู้เสียชีวิต ติดค้างกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งทางกลุ่มมาเฟียเคยมีการทวงถามมาแล้วหลายครั้ง แต่ผู้เสียชีวิตยังนิ่งเฉย จนกระทั่งเช้าวันที่ 8 มิ.ย. กลุ่มมาเฟียได้ส่งคนมาหาตนที่ทำงาน ก่อนบังคับให้ติดต่อกับผู้เสียชีวิต และลวงทั้งสองคนมาพบที่จุดนัดหมายซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ โดยสันติอ้างว่า กลุ่มมาเฟีย ให้ตนทำทีเป็นอ้างว่ามีธุระจะคุยด้วย
โดยช่วงแรกนัดเจอกันประมาณ 19.00 น. แต่ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ติดธุระ จึงเลื่อนมาพบตอนประมาณ 22.00 น. ซึ่งขณะนั้นกลุ่มมาเฟียได้ส่งชายฉกรรจ์สวมหมวกไอ้โหม่งปิดบังใบหน้ามาเฝ้ารออยู่ด้วยทั้งหมด 7 คน เมื่อผู้เสียชีวิตมาถึง ชายฉกรรจ์ดังกล่าวจำนวน 2 คน ก็พาตนกับผู้เสียชีวิตทั้งสอง เข้าไปในห้อง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 5 คน พร้อมอาวุธปืน ยืนคุมเชิงอยู่บริเวณหน้าห้อง
นายสันติ ให้การอีกว่า หลังการเจรจาผ่านไปสักระยะ สถานการณ์ภายในห้องก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ในห้องเริ่มมีการลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.พจนีย์ โดยการใช้ของแข็งคล้ายท่อนเหล็กห่อด้วยกระดาษทุบตี จน น.ส.พจนีย์ จนล้มลง ขณะที่นายประเสริฐ เมื่อเห็นว่าภรรยาถูกทำร้ายจึงพยายามเข้าช่วย ก่อนถูกตีล้มลงไปกองกับพื้นอีกคน ระหว่างนั้นตนเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามห้ามปรามจนถูกตีเข้าที่แขนได้รับบาดเจ็บ และถูกขู่ห้ามเข้ามายุ่ง ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่าตาย จากนั้น ชายฉกรรจ์ 2 คน ลงมือกระหน่ำตี น.ส.พจนีย์ กับ นายประเสริฐ ไม่ยั้งมือ จนเสียชีวิตในที่สุด
หลังจากที่ทั้ง 2 คน เสียชีวิตแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์ช่วยกันยกศพผู้ตายไปใส่ไว้ในรถแล้วบังคับให้ตนขับรถนำศพไปทิ้งตามแผนการที่วางไว้ให้ โดยให้ตนเป็นแพะรับบาปในคดีนี้แทน หากไม่ทำตามจะฆ่าและตามไปฆ่าแฟนสาวด้วย
นายสันติ ยังกล่าวอ้างอีกว่า ด้วยความหวาดกลัวจึงยอมทำตามขับรถวนไปมาบนทางด่วนอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจจอดรถที่มีศพอยู่ภายในทิ้งไว้ที่ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้า และเดินไปที่โล่ง เพื่อให้กล้องวงจรปิดจับภาพตัวเองไว้ได้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เมื่อทิ้งศพเสร็จแล้วก็รีบจองตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทยในทันที จากเดิมที่จะกลับวันที่ 23 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ แต่เกรงว่าหากยังอยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัย ซึ่งเมื่อพ้นอันตรายก็รีบโทรศัพท์ไปบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พร้อมกับบอกสถานที่จุดทิ้งศพ เพื่อให้ช่วยแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ
“ถึงตอนนี้ ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง บนหลักฐานต่างๆสามารถพิสูจน์ได้ แต่ยอมรับว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนลวงให้ผู้ตายมาถูกฆ่า เพราะนับถือรักและเคารพผู้ตายดั่งผู้มีพระคุณเหมือนกับพี่สาวคนหนึ่ง ที่ผ่านมามีปัญหาอะไรเขาให้ความช่วยเหลือตลอด มีแค่ระยะหลังที่เริ่มห่างกันเพราะมารู้ว่าเขาทำธุรกิจผิดกฎหมาย อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด เพราะเห็นว่าได้เงินเร็ว ซึ่งในส่วนนี้ผมไม่รู้มาก่อนว่าผู้ตายไปพัวพัน รู้จักกับแก๊งยาเสพติดหรือมาเฟียเหล่านี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าสาเหตุที่ผู้ตายไปขัดแย้งกับมาเฟียกลุ่มนี้มาจากหนี้สินที่ติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาทนั้นเอง และที่ผมไม่กล้าแจ้งความเพราะรู้ดีว่ามาเฟียกลุ่มนี้เป็นผู้มีอิทธิพล เกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัย" นายสันติ กล่าว