ข่าว

"ปิยบุตร" รับทราบข้อหา ม.112 ยันไม่ผิด ทุกคนควรมีสิทธิพูดแสดงออก

"ปิยบุตร" รับทราบข้อหา ม.112 ยันไม่ผิด ทุกคนควรมีสิทธิพูดแสดงออก

20 มิ.ย. 2565

"ปิยบุตร" เข้ารับทราบข้อหา ม.112 ยืนยันคำพูดไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ทุกคนควรมีสิทธิพูดแสดงออก ซัดกลับอย่าเอาแต่แจ้งความเพื่อปิดปากไม่ให้พูด โต ๆ กันแล้วควรคิดได้

เมื่อวันที่วันที่ 20 มิ.ย. เวลา 10.00 น. นายปิยะบุตร แสงกนกกุล พร้อมนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พิชัย มีอัฐมั่น รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ดุสิต ตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย ครั้งที่ 1 หลังนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ได้เข้าแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 17 พ.ย.64 โดยบรรยากาศที่ สน.ดุสิต มีประชาชนได้นำดอกกุหลาบมามอบให้พร้อมกล่าวทักทาย  รวมถึงนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส. พรรคก้าวไกลและกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อร่วมรณรงค์ยกเลิก ม 112 และปลดล็อคท้องถิ่น

 

ภายหลังการเข้าพบพนักงานสอบสวน นายปิยบุตร  เปิดเผยว่า ข้อความที่นายเทพมนตรีกล่าวโทษไว้ทั้ง 8 ข้อความ อ่านหมดแล้วไม่มีข้อความไหนเข้าองค์ความผิด แต่ทางตำรวจมีความเห็นตั้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องเพียง 1 ข้อความ ซึ่งตนคิดว่าวิญญูชนคนมีเหตุมีผล มีอัตตวินิจฉัย สติสัมปชัญญะ อ่านข้อความอีกครั้ง พินิจพิเคราะห์ได้ว่าไม่เข้าข่ายองค์ความผิด ตรงไหนก็ไม่เข้า สักคำหนึ่งก็ไม่เข้า จากนี้ก็ต้องต่อสู้คดีกันไป ซึ่งในคดีที่ผมโดนไม่ใช่ตัวผมคนเดียว แต่เป็นภาพใหญ่การใช้สิทธิเสรีภาพ ทุกท่านยอมรับกันแล้วว่ายุคสมัยปัจจุบันมีความคิดและการแสดงออกของเยาวชนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันจำนวนมาก มีความเห็นว่าเพื่อให้อยู่อย่างปกติสุข ควรมีการพูดคุยในพื้นที่ที่ปลอดภัย พูดคุยกันในรูปแบบวิชาการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่การแสดงออกของตนกลับถูกดำเนินคดี หากในท้ายที่สุดสังคมเห็นว่าการแสดงความเห็นทางวิชาการนี้ยังโดนคดี ก็จะไม่เห็นพื้นที่พูดคุยในที่สาธารณะ

สำหรับคนกล่าวโทษก็ไม่เป็นไร ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว อยากเรียนฝากนักร้องให้พิจารณาเรื่องข้อกฎหมายบ้าง นี่คือการเอาผิดในทางคดีอาญา ไม่ใช่เอาจินตนาการความรู้สึกนึกคิดเอาเอง ไปแจ้งความคนเพื่อปิดปากไม่ให้เขาพูด โต ๆ กันแล้วควรคิดได้ ซึ่งตนไม่คิดจะดำเนินคดีกลับ คนจะรักต้องพูดคุยกัน ไม่ใช่เอากฎหมายไปหมิ่นประมาท เรามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งข้อเสนอของผมไม่ใช่เพิ่งมาพูด แต่พูดมา 10 กว่าปี ข้อความและเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันมาตลอด แต่กลายเป็นว่าพอเข้าสู่แวดวงการเมืองก็ยังเอาเรื่องนี้มากล่าวหาดำเนินคดีอีก ยืนยันว่าความคิดเห็นของผมที่ดำเนินไปอย่างสุจริตใจและจะดำเนินต่อไป ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผม แต่เพื่อประโยชน์ของสังคมไทย 

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า การที่นายปิยบุตรถูกแจ้งข้อหานั้น เป็นถ้อยคำที่มาจากในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีข้อความผิดอยู่คือในทวิตเตอร์ 24 ต.ค. ระบุว่า

“สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ต่างหาก ที่เป็นไปได้ และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ”

นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า นายปิยบุตรให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด และขอเวลาให้ถ้อยคำโต้แย้งต่อสู้คดี ภายใน 30 วันนับจากวันนี้ โดยไม่มีการควบคุมตัว เนื่องจากผู้ต้องหามาพบด้วยตนเอง ตลอดจนไม่มีการออกหมายจับหรือหมายขังไว้ แต่มีข้อสังเกต คือ เข้าพบพนักงานสอบสวนเอง แต่ทำไมรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถึงให้ความเห็นว่า น่าจะจัดเงื่อนไขไว้ให้ผู้ต้องหามารายงานตัวทุก 7 วัน ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่อย่างรก็ตามก็จะให้ความร่วมมือ เพราะเท่าที่เราพูดคุยก็ได้ถามว่ามีแรงกดดันหรือมีใบสั่งหรือไม่ ทางรองผู้การ น.1 บอกว่าไม่ต้องกังวลใจ ท่านจะให้ความเป็นธรรม โดยให้นำพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีได้เต็มที่ คือให้ทำสำนวนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจทุก 6 เดือน