"ชัชชาติ"รับ5ข้อเสนอสภาองค์กรผู้บริโภคเล็งเจรจา "บีทีเอส"ฟื้นตั๋วเดือน
"ชัชชาติ"รับข้อเสนอ 5ข้อ สภาองค์กรผู้บริโภค สะท้อนปัญหาราคารถไฟฟ้า ชี้ ต้องเก็บเงินส่วนต่อขยายระยะสั้น ส่วนราคารวมตลอดทั้งสาย 44 หรือ 59บาท ยังไม่สรุป เล็งเจรจา"บีทีเอส" ฟื้นตั๋วเดือน-ตั๋วนักเรียน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร “ผู้ว่าฯกทม.” เดินทางเข้าหารือร่วมกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ถึงประเด็นราคาค่ารถไฟฟ้า โดยใช้เวลาการหารือนานกว่า 30 นาที จากนั้นได้รับหนังสือข้อเสนอแนะจากสภาองค์กรของผู้บริโภค
โดยนางสาวสารี ยอมรับว่า การพบ ผู้ว่าฯกทม.วันนี้ เพื่อต้องการให้ กทม.รับฟังปัญหาของผู้บริโภค ที่คนกรุงเทพมหานคร มีความยากลำบากในการใช้บริการรถไฟฟ้า โดยเฉพาะปัญหาเรื่องราคาค่าโดยสารแพง
โดยได้ยื่นข้อเสนอ 5ข้อ คือ
- 1.ขอให้ยกเลิกราคา 59บาท เพราจะทำให้เกิดเพดานราคาสูง ทำให้คนไม่สามารถใช้ได้ทุกวัน ซึ่งถ้าให้เป็นราคาตลอดสายคือ อาจจะทำให้ส่งผลต่อการเข้าถึงการใช้บริการของผู้บริโภาค
- 2.ขอให้กรุงเทพมหานครเก็บค่าโดยสาร 44 บาทตลอดสาย ทั้ง 2 ฝั่งของส่วนต่อขยาย เพื่อดูแลบริษัทรับสัมปทาน คือ บีทีเอส ด้วย และเพื่อเป็นต้นแบบให้กับรถไฟฟ้าสายอื่นต่อไป เพราะไม่มีประเทศไหนที่คิดค่าบริการประชาชนเท่ากับเงินที่ลงทุนไป เพื่อให้เป็นมิตรกับผู้บริโภคที่จะสามารถใช้บริการได้ แต่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนค่าบริการบางส่วน
- 3.ขอให้มีการแก้ไขสัญญาการเดินรถที่ต่อสัญญาเกินไปถึงปี 2585 ซึ่งเป็นการทำสัญญาเกิน สัญญาสัมปทาน เพราะสัมปทานจะหมดในปี 2572 จึงขอให้หาทางแก้ปัญหานี้ หากยกเลิกการเดินรถที่เกินสัญญาสัมปทานได้ เชื่อว่าจะทำให้ผู้บริโภคมีราคาที่เป็นมิตรมากขึ้น
- 4.สนับสนุนให้กรุงเทพมหานคร ไม่ต่อสัญญาสัมปทาน และ ขอให้ใช้วิธีการประมูลแข่งขันการทำสัญญากับเอกชน
- 5.เสนอว่าหลังหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ราคาค่าบริการควรอยู่ที่ 25 บาท และ ขอให้มีการมีตั๋วรายเดือน ตั๋วนักเรียน พร้อมเปิดเผยสัญญาสัมปทานใหม่
นางสาวสารี เสนอว่า หลังหมดสัญญาสัมปทานให้ใช้ราคา25บาท ซึ่งเชื่อว่าราคานี้ทำได้จริง แต่ก่อนหมดสัญญา
ด้าน นายชัชชาติ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอทั้ง5ข้อนั้น เรื่องเรื่องเงิน 59บาท กับ 44บาท มีส่วนต่อขยายที่ไม่ได้เก็บเงิน จะลองทำตัวเลขกรอบราคา44บาทว่าต้องชดเชยเงินเท่าไร และถ้า59บาทต้องชดเชยเงินเท่าไร แล้วจะนำมาให้สภาผู้บริโภคฯพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งการกำหนดราคา 59 บาท เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ตามข้อเสนอแนะของทีดีอาร์ไอ ซึ่งปัจจุบันการให้บริการรถไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนที่เป็นไข่แดงเดิม ก็คิดราคา 44 บาทอยู่แล้ว หากคิดราคาตลอดสาย รวมส่วนต่อขยาย ในราคา 44 บาทเท่าเดิม การวิ่งส่วนต่อขยายส่วนที่ 1-2 เท่ากับ กทม.ไม่ได้เงินเลย ดังนั้นต้องไปดูความเป็นไปได้ ว่าจะต้องจ่ายเงินชดเชยเท่าไหร่ และต้องไปเปรียบเทียบกับค่าโดยสารสายอื่นด้วย
ส่วนการเปิดเผยสัญญาสัมปทานนั้น ในข้อสัญญามีข้อตกลงว่า ห้ามเปิดเผย ดังนั้นต้องดูข้อกฎหมายว่าจะเปิดได้หรือไม่อีกที
ซึ่งวันนี้เป็นการรับข้อเสนอ ส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะต้องดูให้สมดุล มีทั้งคนที่ใช้รถไฟฟ้าบีทีเอส และไม่ใช้บีทีเอสซึ่งจะต้องดำเนินการส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้สัญญาว่าจ้างเดินรถที่เซ็นไว้แล้ว จากปี 2572 ไปสิ้นสุดปี 2585 คือปัญหาหลัก ทำให้ขยับตัวในการตัดสินใจของกรุงเทพมหานครยาก เพราะมีการเซ็นต์สัญญาไปแล้ว และค่าใช้จ่ายกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ต้องไปดูว่าทำอย่างไรให้สัญญาการจ้างเดินรถไม่ต้องถึงปี 2585 และหากได้กลับมาหมดสัญญาสัมปทานปี 2572 ก็จะทำให้เกิดการประมูลใหม่มีการแข่งขันที่เป็นธรรมขึ้น
ส่วนประเด็นภาระหนี้ที่กรุงเทพมหานคร ยังติดค้างจ่ายเอกชนค่าจ้างเดินรถ และหน่วยงานรัฐ จากหนี้โครงสร้างพื้นฐาน นายชัชชาติ ยืนยันว่า หากจะต้องจ่ายก็จะต้องมีความชัดเจน ว่าหนี้ที่มีนั้น ที่มาที่ไปของภาระหนี้ที่เกิดขึ้น ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่โดยเฉพาะจากเอกชน และจะต้องมาพิจารณาดูด้วยว่าเงินที่จะนำมาชำระ จะมาจากแหล่งเงินกู้ใด ซึ่งหากกู้เงินจากหน่วยงานรัฐ ดอกเบี้ยก็จะถูกกว่าเอกชน และส่วนใดที่รัฐบาลจะเข้ามาสนับสนุน กรุงเทพมหานคร(กทม.)