"อาการฝีดาษลิง" โหดไม่ธรรมดา ทำภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผุดตุ่มใหม่ขึ้นมาไม่หยุด
"อาการฝีดาษลิง" ดร.อนันต์ เผยจากเคสติดจริง พบอาการเข้าขั้นโหดไม่ธรรมดา ทำภูมิคุ้มกันอ่อน คอติดเชื้อ ออกตุ่มมาแล้ว 2 อาทิตย์เชื้อไม่ลด ผุดตุ่มใหม่เพิ่มเรื่อย ๆ ตามร่างกาย
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบออนเทค โพสต์เฟซบุ๊ค Anan Jongkaewwattana อัปเดตข้อมูลการติดเชื้อ ฝีดาษลิง และ "อาการฝีดาษลิง" โดยมีการยกเคสตัวอย่างของชายรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล "อาการฝีดาษลิง" หลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งเบื้องต้นอาการที่พบในชายรายดังกล่าว ค่อนข้างน่ากังวล
โดย ดร. อนันต์ ระบุว่า ผู้ป่วย ฝีดาษลิง ท่านนึงในสหรัฐอเมริกาโพสต์รูป "อาการฝีดาษลิง" ที่พบอาการป่วยของตัวเองในทวิตเตอร์ ระบุว่า ตุ่มแผลที่ขึ้นบนใบหน้านี้คือลักษณะของแผลที่ติดเชื้อมา 2 อาทิตย์แล้ว เค้าระบุว่าตอนแรกคิดว่าติด ฝีดาษลิง คงมีอาการอะไรไม่มาก แต่พอติดแล้วอาการเข้าขั้นโหดไม่ธรรมดา (brutal) เค้าเชื่อว่าการที่เค้าติดไวรัสฝีดาษลิงส่งผลให้ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลงไปด้วย เพราะขณะที่กักตัวอยู่เค้ามีอาการคออักเสบจากเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส (Strep throat) ทั้งๆที่เค้าไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย ที่น่าสนใจคือ จู่ ๆ ที่ร่างกายส่วนอื่น เช่น ที่หน้าขา ก็มีตุ่มใสขึ้นมาอีก ทั้งๆที่ตุ่มที่ใบหน้าขึ้นมา 2 อาทิตย์และน่าจะหยุดได้แล้ว แต่ ตุ่มที่ขึ้นใหม่ไม่น่าจะใหญ่เท่าตอนแรกๆที่ขึ้นที่หน้า เพราะแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาน่าจะช่วยลดปริมาณไวรัส และ กระบวนการการอักเสบลงได้... ภาษาที่ใช้บรรยายเห็นภาพชัดว่าความเจ็บปวดมีอยู่ในระดับสูงมากจนน้ำตาเล็ด (The pain I've been experiencing keeps my eyes full of tears) เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรเจอะเจอในชีวิตครับ
อย่างไรก็ตามสำหรับ "อาการฝีดาษลิง" ในเบื้องต้นนั้นพบว่าผู้ติดเชื้อ มักจะมีอาการ ดังนี้
ระยะเวลาฟักตัวประมาณ 7-14 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการแสดงต่างๆ ดังนี้
มีไข้ ไข้สูง
ปวดตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง
ปวดกระบอกตา
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย
อาการต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะจุดที่ไปสัมผัสโรคตามผิวหนัง เช่น คอ ไหปลาร้า ข้อศอก รักแร้ เป็นต้น หรือผ่านทางเยื่อบุทางเดินหายใจ จากการพูดคุย สัมผัสใกล้ชิด การจูบ หลังจากที่มีไข้มาประมาณ 3 วัน จะเข้าสู่ช่วงระยะออกผื่น โดยลักษณะจะกินเวลานานประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยผื่นมักจะขึ้นที่บริเวณใบหน้า แขน และขา มากกว่าที่ลำตัว
ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลศิครินทร์ , Anan Jongkaewwattana