ข่าว

ไม่เข็ดหลาบ กองปราบจับอดีต "ทหาร" ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุน

ไม่เข็ดหลาบ กองปราบจับอดีต "ทหาร" ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุน

30 ก.ค. 2565

กองปราบจับอดีต "ทหาร"ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุนอ้างให้ผลตอบแทนสูง มีผู้หลงเชื่อกว่า 50 คน และยังพบว่าปลอมเอกสารเพื่อไปเช่ารถยนต์หรู ก่อนนำไปขายต่อ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 91 ล้านบาท

ตำรวจกองปราบปราบจับนายเจษฎา หรือ นายกฤชนนท อายุ 26 ปี อดีต "ทหาร" ยศสิบเอก ที่เป็นผู้ต้องหาหลอกใช้เอกสารปลอมตระเวนเช่ารถยนต์หรู แล้วนำไปขายหรือจำนำต่อ ก่อนที่จะนำไปหลอกให้ลงทุนแลกกับผลตอบแทน ร้อยละ 6% มูลค่าความเสียหายมากกว่า 91 ล้านบาท 

พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผู้บังคับการ 4 กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2563 ผู้ต้องหาเป็นทหารที่หลอกให้เพื่อนร่วมงานมาลงทุนโดยเสนอผลตอบแทนร้อยละ 6 ต่อเดือน มีคนหลงเชื่อกว่า 50 คน มาแจ้งความแล้ว 21 คน มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท โดยวิธีการหลอกลวงก็เหมือนเดิม เมื่อหมุนเวียนเงินไม่ทันก็จะหลบหนี ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายจนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกง และกู้ยืมเงินเพื่อการฉ้อโกง  

 

ไม่เข็ดหลาบ กองปราบจับอดีต \"ทหาร\" ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุน


ขณะที่พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ รองผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า มีผู้เสียหายเป็นเจ้าของเต้นท์รถยนต์หรู 3 ราย มาแจ้งความกับตำรวจหลังพบว่าถูกผู้ต้องหามาเช่ารถยนต์หรูโดยใช้เอกสารปลอม ก่อนนำไปขายต่อ โดยพบว่ามีการเช่ารถหรูรวม 12 คัน มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 76 ล้านบาท 

โดยผู้ต้องหาจะสืบหาว่ารถยนต์คันที่เช่าเป็นของบุคคลใด จากนั้นจะพาคนที่มีเครดิตไปเช่ารถยนต์หรูตามเต้นท์รถต่างๆ แล้วจะปลอมบัตรประชาชน โดยใช้ใบหน้าของตัวเองใส่ในบัตรและเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าของรถ ก่อนที่จะนำไปขายให้กับเต้นท์ โดยที่จะเลือกรถยนต์หรูที่มีราคาสูง เมื่อได้เงินมาแล้วบางส่วนก็จะนำไปหมุนเวียนจ่ายให้กับบุคคลที่มาร่วมลงทุน เพื่อที่จะให้ไปบอกต่อให้มาร่วมลงทุนและหลอกลวงกันต่อเนื่อง 

 

ไม่เข็ดหลาบ กองปราบจับอดีต \"ทหาร\" ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุน

เบื้องต้น พบว่ามีผู้ร่วมขบวนการคือคนที่พามาเช่ารถ และกำลังสืบสวนต่อว่ามีผู้ใดร่วมขบวนการเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ก็พบว่าผู้ต้องหาจะตามหาลูกค้ารายใหม่ไปเรื่อยๆ 

ด้านพล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ติดตามรถยนต์ของกลางมาได้แล้ว 9 คัน และยังพบว่าผู้ต้องหามีวิธีการเช็คเจ้าของรถยนต์ และทำเอกสารปลอมประมาณ 30 นาที ก่อนไปก่อเหตุ และหากเต้นท์รถไหนไม่รับซื้อรถก็จะเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ 

แต่ตามกฎหมายการซื้อขายรถยนต์ที่มีมูลค่าสูง ก็ต้องมีเอกสารครบ ทั้งรูปเล่มและเอกสารการครอบครองรถยนต์ ต้องไปตรวจสอบว่าเต้นท์รถไหนมีการซื้อขายอย่างถูกต้องหรือไม่ หากผิดก็จะเข้าข่ายรับของโจร ซึ่งหากเจ้าของรถตัวจริงมาติดตามรถยนต์คืน หากไม่สามารถตกลงกันได้ก็ต้องไปฟ้องร้องกันที่ศาล

นอกจากนั้นยังเชื่อว่าบางส่วนถูกนำไปขายในตลาดมืด ราคาคันละไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านบาท ซึ่ง 12 คัน ที่พบว่าถูกนำไปขายมูลค่ารวมกว่า 76 ล้านบาท และพบเงินหมุนเวียนมนบัญชีผู้ต้องหามากกว่า 200 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชี เนื่องจากผู้ต้องหาอ้างว่านำไปใช้จ่าย และบางส่วนนำไปจ่ายค่าตอบแทนให้กับกลุ่มทุน

ส่วนคดีที่พ่อของผู้ต้องหาลักพาตัวออกมาจากเรือนจำในค่ายทหารที่จังหวัดสมุทรสาคร เป็นคดีฉ้อโกงเงินของทางราชการ ที่เกิดขึ้นในค่ายทหาร ซึ่งถูกดำเนินคดีไปแล้ว แต่ยังไม่พบว่าพ่อของผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุฉ้อโกง 

ด้านผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทรถเช่า เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาผู้ต้องหาก็เคยเช่ารถและคืนตามปกติเป็นเวลากว่า 2 ปี จนมีความเชื่อใจกัน แต่ระยะหลังเริ่มออกลายคือไม่ยอมคืนรถให้ง่ายๆ ซึ่งในส่วนบริษัทของตนก็มีรถประมาณ 10 คันที่เคยหมุนเวียนให้เช่าอยู่ ซึ่งผู้ต้องหาก็ได้นำไปจำนำต่อให้กับเต้นท์รถ และพยายามตามรถคืนมาได้เกือบครบ ยังเหลืออีก 2 คัน ที่ยังตามคืนมาไม่ได้

อีกทั้งยังเชื่อว่าผู้ต้องหาได้ต่อยอดไปหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่น โดยอ้างว่าทำธุรกิจรถเช่า สร้างความเชื่อถือให้กับเหยื่อรายอื่นอีก 

 

ไม่เข็ดหลาบ กองปราบจับอดีต \"ทหาร\" ยศสิบเอก ก่อเหตุหลอกให้ร่วมลงทุน