ข่าว

แกะรอยไอ้โม่ง3ก๊วนทหารพรานยันนักการเมือง

แกะรอยไอ้โม่ง3ก๊วนทหารพรานยันนักการเมือง

15 เม.ย. 2553

เหตุการณ์มิคสัญญี วันที่ 10 เมษายน 2553 ส่งผลให้ทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเสียชีวิตรวมแล้ว 23 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยราย ท่ามกลางข้อกังขาว่าเกิดจากฝีมือของใคร งานหนักนี้จึงตกอยู่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะต้องหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว

การเผชิญหน้าจนนำไปสู่การปะทะประหัตประหารกันที่สี่แยกคอกวัว กรุงเทพฯ โดยมีตัวแปรสำคัญ คือ "ไอ้โม่ง" ที่ถูกมองว่าเป็นคนลงมือจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง แท้ที่จริงแล้วไอ้โม่งที่ว่าเป็นใคร กลุ่มไหน และเหตุใดถึงมีเป้าประสงค์หลักที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ?!!

 หนึ่งในคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้กว้างๆ บนสมมติฐานที่ว่า "ไอ้โม่ง" เป็นกลุ่มคนที่สาม ที่ไม่ใช่ทั้งทหารและเสื้อแดง โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่มใหญ่ ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกปั่นให้เกิดการใช้กำลังเผชิญหน้ากัน

 "ถ้าเสื้อแดงเจ็บตายฝ่ายเดียวคนก็จะมองว่าทหารทำ แต่ถ้าทหารเจ็บตายฝ่ายเดียวคนก็จะเชื่อว่าเสื้อแดงลงมือ แต่นี่ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตาย จึงสันนิษฐานว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ขึ้น" นายตำรวจวิเคราะห์สถานการณ์

 ในบรรดาฝูงชนคนเสื้อแดงและทหารมีตำรวจนักสืบหลายร้อยนายคอยปะปนอยู่ทั่วไป หลังเกิดเหตุรุนแรงการข่าวทุกสายถูกนำมาวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ร่วมกัน หาข้อบกพร่อง และที่สำคัญหาตัวคนทำให้เกิดความรุนแรง สรุปพอเป็นสังเขปได้ว่า...

 แนวกั้นของทหารบริเวณสี่แยกคอกวัว บนถนนราชดำเนินทั้งขาเข้าและขาออกทั้งสองฝั่ง มีกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ตรงกลาง ระหว่างปฏิบัติการยึดพื้นที่การชุมนุมคืน มีเสียงระเบิดจากเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ตกใส่ฐานบัญชาการทหาร 2 นัด จากนั้นก็มีเสียงปืนดังติดต่อขึ้นหลายนัด โดยไม่ทราบว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน

 ระหว่างชุลมุนมีพยานเห็นชายชุดดำใช้อาวุธสงครามยิงลงมาจากอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง จนเกิดการยิงตอบโต้จากด้านล่าง ระหว่างนี้แนวหลังของทหารฝั่งถนนสิบสามห้างเห็นรถกระบะมีชายฉกรรจ์ชุดดำหลายคน ใช้อาวุธปืนยิงใส่แนวหลัง

 ขณะเดียวกันชุดสืบสวน กก.สส.น.6 สังเกตเห็นชายชุดดำสวมหมวกไหมพรมสีดำ ใส่เสื้อสีแดง รูปร่างสูงใหญ่ถือเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เดินเข้ามา จึงแสดงตนเพื่อเข้าตรวจยึดและจับกุม แต่ชายเสื้อดำกลับวิ่งหลบหนีไป

 บรรดาตำรวจนักสืบต่างก็มองว่า แผนการเข้ายึดพื้นที่ชุมนุมรั่วไปถึงกลุ่มผู้ไม่หวังดี แล้วใช้เอ็ม 79 ยิงเบิกทางให้เกิดความชุลมุน จากนั้นมีการชี้เป้าให้พลซุ่มยิงลอบสังหาร พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ม.2 รอ.นายทหารเสนาธิการที่อยู่ในทีมคลี่คลายสถานการณ์เมื่อครั้งสงกรานต์เลือดปีที่แล้ว

 ส่วนกลุ่มไอ้โม่ง 3 ก๊วน ที่น่าจะอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายครั้งนี้นั้น คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน บช.น.มองว่า หนึ่งเป็นกลุ่มทหารพรานในภาคตะวันออกที่ถนัดการใช้ปืนอาก้าและเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ที่ระยะหลังมานี้เข้ามามีบทบาททางการเมืองหลากสีมากยิ่งขึ้น

 กลุ่มต่อมาเป็นอดีตทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อดีตนักการเมืองคนดังให้การดูแลชุบเลี้ยงอยู่ เข้ามาสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง เพื่อหวังผลทางการเมืองหลังกำลังทหารเข้ายึดพื้นที่และสามารถผลักดันให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมลงได้

 ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นของ "เสธ.คนดัง" ที่ระยะหลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญและถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งหน่วยข่าวและความมั่นคงปักใจว่าน่าจะมีส่วนในเหตุความวุ่นวายหลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และหลังๆ มานี้เวลาเดินทางไปไหนมาไหนมักจะมีรถตู้และกองกำลังส่วนตัวติดสอยห้อยตามไปในลักษณะคอยคุ้มกันตลอดเวลา

 อย่างไรก็ดี หลังวันที่ 10 เมษายนเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ไปตรวจสอบจุดปะทะถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ วันที่ 1 และ 14 เมษายน แต่ก็ยังไม่สามารถลงความเห็นลงไปได้ชัดเจนว่าจุดซุ่มยิงจากบนอาคารพาณิชย์อยู่ที่ไหนกันแน่ ?!!

 แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นประจักษ์พยานยืนยันชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบริเวณนั้นก็คือ รอยกระสุนปืนที่อยู่ตามผนังตึกอาคารพาณิชย์ในละแวกดังกล่าวแตกเป็นรูพรุนทั่วไปหมด รวมถึงจุดที่ถูกระบุว่าเป็นจุดซุ่มยิง (สไนเปอร์) บนอาคารพาณิชย์หลังหนึ่ง ที่มีรอยกระสุนปืนยิงตอบโต้จากด้านล่างอาคาร

 "ถึงแม้ว่าจะยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่าจุดซุ่มยิงอยู่ตรงไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพลซุ่มยิงบนอาคาร คงต้องรอผลตรวจกล้องวงจรปิดและภาพจากสื่อมวลชนมาประกอบก่อน เผื่อจะมีกล้องบางตัวสามารถบันทึกภาพได้บ้าง" เจ้าหน้าที่ พฐ.ลงความเห็น