
สองพี่น้องอำมหิตจนมุมพนง.แบงก์
ไหวพริบของพนักงานธนาคารทำให้สองพี่น้องอำมหิตจี้เสี่ยโรงสีชัยนาทฆ่าเมียบังคับเซ็นเบิกเงิน 10 ล้านบาทจนมุมตำรวจในที่สุด !?!
วันที่ 22 กรกฎาคม 2553 "วรชิต-สัมพันธ์ ประจงการ" สองพี่น้องวัย 48 และ 46 ปี จากศรีประจันต์ สุพรรณบุรี เข้าไปเบิกเงินสด 10 ล้านบาท ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเมืองชัยนาท แต่พนักงานเคาน์เตอร์เห็นผิดสังเกต เนื่องจากเจ้าของบัญชี "นพเก้า พวงชมพู" ภรรยาเสี่ยเจ้าของโรงสีปัญจพลกำชับเอาไว้ว่า ถ้ามีคนมาเบิกเงินให้โทรถามก่อน
เมื่อพนักงานแบงก์โทรติดต่อกลับไปหาเจ้าของบัญชีตามเบอร์มือถือที่ให้ไว้ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงโทรไปสอบถามเสมียนบัญชีโรงสีก็ได้รับคำตอบว่าไม่อยู่ เมื่อได้ทราบข่าวผิดปกติเสมียนอีกคนจึงมุ่งหน้าไปที่แบงก์ เพื่อดูว่าใครกันที่เป็นผู้ไปเบิกเงินสดมากถึง 10 ล้านบาท
ทันทีที่เห็นหน้าค่าตาเสมียนก็บอกได้ว่าไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนายจ้างหรือในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจ จึงโทรแจ้งตำรวจเมืองชัยนาทมาควบคุมตัวนำไปสอบสวน ทั้งสองให้การวกวนอ้างว่า เจ้าของบัญชีให้มาเบิกเงินสดแทน ประกอบกับตำรวจค้นพบแหวนเพชรสตรีวงหนึ่งในตัวสัมพันธ์ผู้น้อง จึงเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
ระหว่างนี้มีพลเมืองดีโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน เกิดเหตุฆาตกรรมภายในบ้านไม่มีเลขที่ บ้านใหม่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่ไม่มีคนอยู่อาศัยจนเกือบจะกลายเป็นบ้านร้าง ใกล้วัดพระยาตาก หมู่ 3 ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.ชัยนาท โดยคนร้ายใช้รถกระบะอีซูซุ สีเทา เป็นยานพาหนะ พลันสายตาทุกคู่ต่างหันไปมองรถกระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ สีเทา ทะเบียน บย 2929 สุพรรณบุรี ของสองพี่น้องทันที
อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผบก.ภ.จว.ชัยนาท พ.ต.อ.ศุภรกฤษฏิ์ ประชากิตติกุล ผกก.สภ.เมืองชัยนาท พร้อมฝ่ายสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า เป็นตึก 2 ชั้นหลังใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ใต้บันไดทางขึ้นชั้นบนพบศพ "นพเก้า พวงชมพู" วัย 33 ปี นอนจมกองเลือดในสภาพแขนขาถูกมัด มีผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ บริเวณลำคอมีแผลถูกแทงด้วยมีด 4 แผล และสีข้างขวาอีก 2 แผล
นอกจากนี้ ยังพบรอยเลือดหยดเป็นทางยาวไปจนถึงหน้าบ้าน พยานแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บอีกราย คือ "ณัฐพล เพ็ญพินันท์" เสี่ยเจ้าของโรงสีข้าวปัญจพล ต.หางน้ำสาคร อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท สามีวัย 47 ปีของผู้ตาย ซึ่งพลเมืองดีได้นำส่ง รพ.ชัยนาท ไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงตามไปสอบปากคำ อาการของณัฐพลค่อนข้างสาหัส แต่ก็ยังพอให้การยืนยันได้ว่า คนร้ายที่ก่อเหตุคือสองพี่น้อยจากสุพรรณบุรีนั่นเอง
ณัฐพลรู้จักสนิทสนมกับวรชิตผู้พี่มาค่อนข้างนานแล้ว ก่อนเกิดเหตุวรชิตโทรเข้ามาหาณัฐพลแจ้งความจำนงจะมาดูบ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งสองสามีภรรยาสร้างเสร็จไว้นานหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้เข้าไปอยู่จึงประกาศขายเอาไว้ 15 ล้านบาท ทันทีที่สองพี่น้องจากสุพรรณฯ มาถึงบ้านก็ตรงเข้าไปจับณัฐพลเกลอเก่ามัด แล้วโทรศัพท์ไปหานพเก้าวางอุบายหลอกล่อให้มากินข้าวด้วยกันที่บ้านเกิดเหตุ
แรกๆ นพเก้าเองก็ผิดสังเกตพยายามขอสายสามีก็ได้รับการบ่ายเบี่ยง เมื่อโทรเข้าเครื่องสามีก็ติดต่อไม่ได้ หนึ่งในสองคนร้ายอ้างว่ามือถือณัฐพลตกน้ำใช้การไม่ได้ สุดท้ายนพเก้าพยายามทำใจว่าเป็นคนรู้จักจึงยอมขึ้นรถกระบะกลับมาที่บ้านเกิดเหตุ เธอถูกพันธนาการทันทีที่เข้ามาในตัวบ้านและเห็นสามีตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเธออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นสองพี่น้องคนร้ายก็เข้ารื้อค้นทรัพย์สิน แล้วลงมือทำร้ายร่างกายสองผัวเมีย
นพเก้าโชคร้ายบาดแผลฉกรรจ์เกินกว่าจะทนได้ เธอสิ้นใจตายอยู่ภายในบ้านนั่นเอง ส่วนณัฐพลยังโชคดีกว่ามาก แต่กระนั้นก็บอบช้ำแสนสาหัส หลังจากคนร้ายล่าถอยไปแล้วเขากระเสือกกระสนออกมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน อันเป็นที่มาของรอยเลือดที่หยดเป็นทางอยู่ทางเข้าหน้าบ้าน
เมื่อตำรวจรู้ว่าวรชิตและสัมพันธ์คือคนร้ายมือมีด จึงเปลี่ยนประเด็นการสอบสวนใหม่ ทั้งสองให้การภาคเสธว่าเงินสด 10 ล้านบาทนั้น เป็นค่าพระเครื่องชั้นสมเด็จองค์หนึ่งที่ณัฐพลได้ไปแล้ว 2 เดือนยังไม่ได้จ่ายเงิน จึงตามมาทวงเงินค่าเช่าพระ 10.5 ล้านบาท ตำรวจจึงควบคุมตัวทั้งสองไปให้ณัฐพลชี้ตัว
ภายในห้องไอซียู รพ.ชัยนาท เมื่อสองพี่น้องปรากฏตัวณัฐพลถึงกับแสดงอาการหวาดผวา แต่ก็ชี้ตัวยืนยันได้ว่าเป็นคนลงมือทำร้ายเขากับภรรยาจนถึงแก่ความตาย และพระเครื่องกับสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาทที่สัมพันธ์สวมติดคออยู่ เป็นสร้อยคอและพระเครื่องของเขา โดยสองพี่น้องอยู่ในอาการพิพักพิพ่วนให้การแบ่งรับแบ่งสู้
นอกจากนี้ จากการตรวจค้นรถกระบะของวรชิตและสัมพันธ์ตำรวจพบสมุดบัญชีของผู้เสียหาย ใบถอนเงินสดปรากฏลายเซ็นของผู้เสียหาย รวมถึงบัตรประจำตัวประชาชนของณัฐพลและนพเก้า กลายเป็นหลักฐานมัดตัวที่สองพี่น้องจะดิ้นและพลิกลิ้นให้การอย่างไรก็ไม่รอด