ศาลสั่ง'คุณหญิงอ้อ'คืนที่ดินรัชดาให้รัฐ
ศาลแพ่งพิพากษาให้"คุณหญิงพจมาน"คืนที่ดินรัชดาฯ 4 แปลง 33 ไร่ ให้กองทุนฟื้นฟูฯ หลังชี้นิติกรรมซื้อขายที่ดินปี2546 เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขาย ขณะที่ให้กองทุนคืนเงินซื้อที่ดิน 772 ล้านให้"หญิงอ้อ"พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 นับจาก 25 พ.ย.52
(24ก.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ 5379/2552 ที่ นายพศิน ทิพยรักษ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง รับมอบอำนาจจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยเรื่องโมฆะกรรมขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะ เบียนขายโฉนดที่ดินรัชดาภิเษก 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน ขณะที่ทางคุณหญิงพจมาน ฟ้องแย้งในสำนวนเดียวกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กองทุนฟื้นฟูคืนเงินซื้อขายที่ดินจำนวน 772 ล้านบาท พร้อมค่าเสียหาย ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างจำนวน 39 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่นัดชำระ
โดยคดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2546 คุณหญิงพจมานจำเลย เข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาซื้อที่ดินดังกล่าวต่อมา กองทุนฯประกาศให้เป็นผู้ชนะในการซื้อที่ดิน 4 แปลงในราคาสูงสุดเป็นเงิน 772 ล้านบาทโดยกองทุนฯและคุณหญิงพจมาน จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2546 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้คุณหญิงพจมาน จำเลยในวันที่ 30 ธ.ค.2546 โดยสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า กองทุนฯโจทก์ ผู้ขายตกลงยอมขายและคุณหญิงพจมานจำเลย ผู้ซื้อตกลงยอมซื้อแต่ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาซื้อขาย คุณหญิงพจมาน จำเลย และ พ.ต.ท.ทักษิณ สามีถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
จากกรณีที่คุณหญิงพจมานจำเลยคู่สมรสของพ.ต.ท.ทักษิณเข้าเป็นคู่สัญญาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ต่อมาวันที่ 17 ก.ย.2551 ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดให้จำคุก 2 ปี การที่คุณหญิงพจมานจำเลยเสนอตัวเข้ายื่นซองจนชนะการประกวดและเข้าทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขาย และสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่นายกฯเป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแล โดยคุณหญิงพจมานจำเลยรู้และตระ หนักดีว่าตนเองเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นการเข้าทำนิติกรรมสัญญาย่อมเป็นการทำโดยมีวัตถุประสงค์ขัดกันระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตัวซึ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 100 เมื่อคุณหญิงพจมานจำเลย มีเจตนาจงใจเข้าทำนิติกรรมสัญญาทั้งที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงตกเป็นโมฆะทันที ตามประมวลกฎ หมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150
ศาลแพ่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย ข้อที่ 1 ว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างกองทุนฯ กับคุณหญิงพจมาน เป็นโมฆะหรือไม่ วินิจฉัยว่า การที่คุณหญิงพจมาน เป็นภรรยาโดยชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่มีการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การกระทำนิติกรรม ซื้อขายที่ข้อพิพาท ระหว่างกองทุนฯ และคุณหญิงพจมาน การดำเนินการดังกล่าวของคุณหญิงพจมาน ถือเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องห้ามมิให้กระทำตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องการและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) คุณหญิงพจมาน จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้าม ในการเป็นคู่สัญญาทำนิติกรรมกับกองทุนฯ โดยผลของกฎหมาย นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
ประเด็นข้อพิพาทที่ 2 เมื่อฟังว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ กองทุนฯมีสิทธิ์เรียกที่ดินคืนจากคุณหญิงพจมาน หรือไม่ และกองทุนฯจะต้องคืนเงินราคาที่ดินให้แก่คุณหญิงพจมานหรือไม่ มีคำวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่เป็นโมฆะ ถือว่าเสียเปล่าใช้ไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ์และหน้าที่ของคู่กรณี การที่กองทุนโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบที่ดินพิพาททั้ง4 แปลงให้คุณหญิงพจ มาน หรือการที่คุณหญิงพจมาน ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่กองทุนฯเป็นกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับทรัพย์สิน เพราะการที่อีกฝ่ายหนึ่งกระ ทำเพื่อชำระหนี้ โดยปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ ทั้งสองฝ่ายจึงมีหน้าที่คืนทรัพย์สินที่ได้รับไปจากอีกฝ่ายหนึ่ง คุณหญิงพจมาน มีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง คืนให้แก่กองทุนฯส่วนกองทุนฯมีหน้าที่คืนเงินค่าที่ดิน ที่รับไว้จากคุณหญิงพจมาน ทั้งหมด และต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ คุณหญิงพจมาน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับตั้งแต่วันที่ คุณหญิงพจมาน ยื่นคำให้การ และฟ้องแย้งเป็นต้นไป
ศาลแพ่งจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียน นิติกรรมการซื้อขายที่ดิน โฉนดที่ดินเลขที่ 2298,2299,2300 และ 2301 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.ระหว่างกองทุนฯและคุณหญิงพจมาน ให้คุณหญิงพจมาน ส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้ง 4 แปลง คืนให้แก่กองทุนฯ และให้กองทุนฯ ชำระเงินจำนวน 772 ล้านบาท คืนให้แก่คุณหญิงพจมาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 25 พ.ย.52 ซึ่งเป็นวันฟ้องแย้งเป็นต้นไป
ภายหลังนายพลพีร์ ตุลยสุวรรณ ทนายความคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า จะแจ้งผลคำพิพากษาให้คุณหญิงพจมาน ทราบต่อไป เข้าใจว่าคุณหญิงพจมาน จะพอใจกับผลคำพิพากษาที่ศาลให้กองทุนฯ คืนเงินค่าซื้อที่ดิน ส่วนที่ศาลไม่ได้กำหนดให้กองทุนต้องชำระ ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างในที่ดินที่คุณหญิงพจมาน ระบุไว้ในคำฟ้องแย้งจำนวน 39 ล้านบาทนั้น คิดว่าคุณหญิงพจมาน คงไม่ติดใจประเด็นนี้ ทั้งนี้หากกองทุนฯ ติดใจในผลคำพิพากษา สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งฝ่ายตนไม่หนักใจอะไร พร้อมต่อสู้คดี หากจะมีการอุทธรณ์คดีจริง กองทุนฯ จะต้องนำเงินซื้อขายที่ดิน 772 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งจนถึงขณะนี้คิดเป็นเงินประมาณ 40 ล้านบาท นำมาวางเป็นเงินประกันต่อศาลไว้ด้วย
ขณะที่อัยการที่ได้รับมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องคดีนี้ กล่าวเพียงว่า ต้องนำคำพิพากษาทั้งหมดไปมอบให้กองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไปว่าจะประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คดีอีกหรือไม่