ชูชก
ทั้งๆ ที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา และทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาซึ่งมีปรัชญาในเรื่องของสัจธรรมบนพื้นฐานของเหตุและผล สอนให้ศึกษาหาความจริงมิใช่ยึดถือความเชื่อหรือการทำตามกันมา
แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนไทยส่วนใหญ่กลับไม่ได้ใส่ใจในธรรมะหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่าที่ควร แต่กลับเชื่อถือเรื่องพิธีกรรมมากกว่าการปฏิบัติตนตามแนวทางสัมมาทิฐิ และยิ่งคนไทยมีการศึกษาทางโลกสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างไกลจากทางธรรมะมากขึ้นเท่านั้น และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือยิ่งวันก็ยิ่งคิดอะไรที่ง่ายๆ ปราศจากความครุ่นคิดใคร่ครวญ
ความคิดประเภทนี้เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจากกรณีการพบศพทารกสองพันกว่าศพที่วัดแห่งหนึ่งย่านบางคอแหลม ในกรุงเทพฯ อันเป็นผลมาจากการลักลอบทำแท้ง ซึ่งในชั้นแรกเรื่องนี้เป็นประเด็นทางสังคมมีการประณามผู้หญิงที่เป็นมารดาของทารก การกล่าวโทษความบกพร่องทางศีลธรรมของผู้คนยุคปัจจุบัน จนถึงขั้นมีการเสนอให้ทำแท้งเสรี และจบลงด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาทารกทั้งหลาย ซึ่งถึงตรงนี้แหละครับที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของคนในสังคมไทยอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การขนของเล่นเด็กและขนมนมเนยไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของทารก การสร้างรูปกุมารจำลองให้เป็นตัวแทนของทารก และจบลงด้วยการขอเลขเด็ด พร้อมๆ กับเรื่องต่างๆ ที่พูดกันก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ หรือมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอีก ก็ค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางควันธูปและเสียงร้องไห้ของคนที่เสียหวย
ที่หนักข้อไปกว่านั้นก็คือการเกิดลัทธิบูชาชูชกขึ้นในหมู่ชาวพุทธ อันว่าชูชกนี้ถือว่าเป็นตัวร้ายหรือฝ่ายมารในมหาเวสสันดรชาดก เป็นพราหมณ์เฒ่ารูปชั่วหากินทางขอทาน ไม่มีวิชาความรู้อะไร แต่อาศัยความปลิ้นปล้อนหลอกลวงพรานเจตบุตรซึ่งดูแลรักษาป่าที่พระเวสสันดรพำนักอยู่ จนสามารถเข้าไปทูลขอกัณหาชาลีจากพระเวสสันดรเพื่อไปให้เมียสาวคือ นางอมิตดาใช้สอย แต่ระหว่างทางกลับบ้านได้พลัดเข้าไปในกรุงสญชัย พระเจ้ากรุงสญชัยซึ่งเป็นพระอัยกาของกัณหาชาลีสงสารหลาน จึงขอไถ่ตัวสองกุมารจากชูชกและจัดอาหารมาเลี้ยง ชูชกไม่เคยกินอาหารดีๆ ก็บริโภคจนท้องแตกตาย ครับ เรื่องของชูชกก็มีอยู่เท่านี้ และในชาดกยังกล่าวว่าเมื่อพระเวสสันดรมาเสวยชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชูชกก็กลับมาเกิดเป็นพระเทวทัตที่คอยคิดร้ายและชิงดีเด่นกับพระพุทธองค์ จนถูกธรณีสูบ
เมื่อหลายปีก่อนมีคอลัมน์แนะนำร้านอาหารในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ใช้รูปชูชกเป็นสัญลักษณ์ของคอลัมน์ และตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “ชูชกชวนชิม” หรืออะไรประมาณนั้น ผมก็รู้สึกทะแม่งๆ แล้ว เพราะคนเข็ญใจอย่างชูชกจะมีปัญญารู้จักอาหารดีๆ ได้อย่างไร หนำซ้ำก็ยังตะกรุมตะกรามสวาปามอาหารจนท้องแตกตายอีกต่างหาก แต่เวลานี้ยิ่งไปกันใหญ่ถึงขั้นเกิดการสร้างชูชกไว้บูชา และผู้ที่สร้างก็ล้วนเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าซึ่งเป็นศิษย์ตถาคตทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อแบบง่ายๆ ว่า ถึงชูชกจะรูปชั่ว แต่ก็มีภรรยาวัยเด็กที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเป็นคนมีเมตตามหานิยมขออะไรใครก็ให้จนมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และเป็นคนที่มีวาจาเป็นเอก กล่อมคนให้เชื่อได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ตรงกับกิเลสของคนในสังคมไทยปัจจุบัน คือหมกมุ่นเรื่องชู้สาว เห็นแก่ได้ ละโมบโลภมาก หวังรวยทางลัด และกะล่อน โกหกมดเท็จไปวันๆ ซึ่งแทนที่จะขัดเกลากิเลสของตนด้วยศีลด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสำรวมในกาม การไม่ปรารถนาทรัพย์สิ่งของของคนอื่นมาเป็นของตน การมีวาจาชอบ การประกอบสัมมาอาชีวะ ก็กลับพึ่งพาการกราบไหว้รูปจำลองของชูชกแทน
แม้ใครจะอ้างว่า มีพุทธทำนายว่าเมื่อสิ้นพุทธกาลแล้วชูชกหรือเทวทัตจะกลับมาเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ชาตินี้ภพนี้ ผมก็ขอนับถือพระพุทธเจ้าและธรรมะของพระองค์ และที่อ้างว่าพระเวสสันดรกับชูชก หรือพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นของคู่กัน และการขอสองกุมารของชูชกจึงทำให้พระเวสสันดรได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น อีกหน่อยพวกโจรผู้ร้ายก็คงอ้างได้ว่าถ้ามันไม่จี้ปล้น ชาวบ้านก็คงไม่รู้จักการสูญเสียและความเดือดร้อน
และนักการเมืองเลวๆ ก็อ้างได้อีกนั่นแหละ ว่าถ้าพวกตนไม่โกงบ้านโกงเมือง ราษฎรจะเห็นคุณค่านักการเมืองดีๆ ที่ไม่โกงไม่กินได้อย่างไร?