ข่าว

เส้นทางโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียว"นักปล้นยาเสพติด"

เส้นทางโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียว"นักปล้นยาเสพติด"

15 ธ.ค. 2553

ห่ากระสุนของตำรวจที่พุ่งเข้าเจาะร่าง "ชาญชัย ประสงค์ศิล" หรือโจ๊ก ไผ่เขียว ทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่างในทันที

 มือปืนที่สาดกระสุนกว่า 10 นัดใส่รถน้องโตมี่ หรือ ด.ช.โภคิน ดีผิว อายุ 12 ปี จนบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา รับกรรมที่ก่อไว้พร้อมกับคำถามว่า เหตุใดมือปืนถึงลงมือได้โหดเหี้ยมบ้าคลั่ง รวมถึงเส้นทางของพี่น้องคู่นี้ หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นห้องพบยาเสพติดและเงินสดจำนวนมหาศาล ด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษเท่านั้น

 นายนพดล ประสงค์ศิล หรือจิ๊บ ไผ่เขียว เปิดปากรับสารภาพกับชุดสืบสวน

 "พี่ชายเป็นหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติด โดย "โจ๊ก" เริ่มต้นเข้าสู่วงการยาเสพติด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตระเวนขายยาเสพติดจนผันตัวเองมาเป็นเอเย่นต์ค้ายา ซึ่งนอกจาก "โจ๊ก" จะขายเองแล้วยังลงมือปล้นยาเสพติดจากผู้ค้าด้วยกันด้วย จึงทำให้มีเงินจำนวนมาก และ โจ๊ก ก็ชอบเล่นปืน ชอบทำตัวเป็นขาใหญ่ บ้าอำนาจ ต้องการเป็นผู้นำ เมื่อมีเงินจากการขายยาเสพติด ก็เริ่มซื้ออาวุธปืนมาสะสม เวลาไปไหนมาไหน จะพกปืนและมีความระแวดระวัง ระมัดระวังตัวตลอดเวลา เวลาเห็นรถขับมาใกล้ๆ หรือขับรถตามก็จะยิงทันที"

 คืนที่พี่ชายของ "จิ๊บ" ถูกวิสามัญฯ และด้วยนิยามที่ว่า..."ที่อันตรายที่สุด คือที่ปลอดภัยที่สุด" คงเป็นห้วงคิดสุดท้ายของ "นพพล" ที่หวนกลับมากบดานในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่หลบหนีออกจากพื้นที่ทันทีที่สิ้นเสียงปืนในคืนวันที่ 12 ธันวาคม

 หลังนาทีวิสามัญฯ "โจ๊ก ไผ่เขียว" แผนปฏิบัติการไล่ล่า “จิ๊บ“ จึงเริ่มขึ้นทันที...กระทั่งกลางวันวันที่ 13 ธันวาคม ชุดสืบสวนของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ10) รรท.ผบช.ภ.1, พ.ต.อ.ชยานนท์ มีสติ ผกก.สส.1 ภ.1, พ.ต.อ.นฤนาท พุทไธสง ผกก.สส.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา เริ่มระแคะระคายข้อมูลจากสายลับว่า “จิ๊บ“ ติดต่อกับ นางประยงค์ ประสงค์ศิล อายุ 56 ปี มารดาว่าจะเข้ามอบตัว โดยมีเบาะแสว่า คนร้ายพักอยู่กับญาติในสวนยางที่ จ.ระยอง จึงนำกำลังไปสมทบกับตำรวจท้องที่ แต่เมื่อถึงเป้าหมาย คนร้ายไหวตัวออกจากสวนยางตั้งแต่ก่อนเที่ยง และไม่มีใครทราบว่าไปที่ใด?

 ชุดสืบสวนได้ประสานงานทุกสถานีตำรวจในละแวกใกล้เคียง ปูพรมตรวจค้นรถประจำทาง และรถยนต์ตู้โดยสารสาธารณะ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เส้นทางเข้ากรุงเทพฯ บริเวณด่านทับช้าง รวมถึงเส้นทางตะเข็บแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.จันทบุรี ภายใต้คำสั่ง... หากต่อสู้ก็ดำเนินการได้เต็มที่ แต่หากไม่ต่อสู้ก็ให้จับเป็น เพื่อคลายข้อกังขาว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกันฆ่าน้องโตมี่ จริงๆ ไม่ใช่แพะรับบาปมาสวมคดี!!

 ทว่า ปฏิบัติการไล่ล่าครั้งนี้ ชุดสืบสวนกลับไม่พบตัวคนร้ายแต่อย่างใด จึงตั้งสมมุติฐานใหม่ว่า คนร้ายอาจย้อนกลับเข้าพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อีกครั้ง เพื่อลวงให้ชุดสืบสวนออกจากพื้นที่ และก็เป็นไปตามคาด เมื่อสายลับให้ข้อมูลว่า ช่วงหัวค่ำของวันที่ 13 ธันวาคม "จิ๊บ"  ติดต่อกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ให้ไปบอกแม่ของเขาว่า ไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้อยู่แถวบ้านแล้วจะให้เพื่อนติดต่อกลับอีกครั้งภายใน 1-2 วันนี้เพื่อเข้ามอบตัว เพราะตอนนี้กำลังสับสน และไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งผู้สื่อข่าวก็ตาม

 พล.ต.อ.อัศวิน จึงตัดสินใจให้  พล.ต.ต.อนุรักษ์ แตงเกษม ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา เกาะติดโดยเน้นให้จับเป็น ด้านชุดสืบสวนของ พ.ต.อ.นฤนาท เร่งหาเพื่อนสนิทของ “จิ๊บ“ เพียงไม่นานก็ได้ตัวมา และยอมรับกับชุดสืบสวนว่า เพื่อนเขาซ่อนตัวอยู่ที่เคแอล โซล 4 ตั้งอยู่หลังหมู่บ้านสินธิวาธานี ริมถนนโรจนะ ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

 ทันทีที่ทราบข้อมูล ชุดสืบสวนแบ่งกำลังไปปิดล้อมเพื่อควานหาตัว แต่ปรากฏว่าสถานที่ดังกล่าวมีอยู่หลายตึกหลายห้อง ไม่ทราบว่าอยู่ตึกใดห้องไหน จึงนำตัวเพื่อนสนิทของ “จิ๊บ" ไปด้วย โดยนำชุดสืบสวนไปยังห้องหมายเลข 505 ชั้น 5 ของอาคารดังกล่าว แต่ปรากฏว่าห้องดังกล่าวล็อกประตูจากด้านนอก แสดงว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง!!

  แต่เพื่อนของ “จิ๊บ ไผ่เขียว" ยืนยันว่า อยู่ในห้องแน่นอน เพียงแต่ล็อกประตูตบตาไว้เท่านั้น ก่อนส่งกุญแจให้ชุดสืบสวนไขประตูเข้าไปพิสูจน์ ทันทีที่ประตูถูกไขและหมุนลูกบิดประตู ชุดสืบสวนถีบประตูเข้าจู่โจมล็อกตัวทันที 

 “จังหวะที่จู่โจมจับนายนพพล หรือ จิ๊บ ไผ่เขียว กำลังนอนหลับอยู่บนที่นอนลักษณะใช้ผ้าห่มคลุมโปง สวมกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว บนหัวเตียงนอน พบอาวุธปืนขนาด .38 วางอยู่ 1 กระบอก ไม่มีโอกาสต่อสู้ จึงควบคุมตัวมาสอบสวน" แหล่งข่าวในชุดสืบสวน เล่าวินาทีจู่โจมดั่งสายฟ้าแลบ

 เมื่อสิ้นอิสรภาพ “จิ๊บ ไผ่เขียว“ ก็รับว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุร่วมกับพี่ชาย โดยวันที่เกิดเหตุเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ พี่ชายซึ่งซ้อนท้ายได้สั่งให้ชะลอรถ เพื่อยิงใส่รถคันดังกล่าว 3 นัด ด้วยความระแวงว่า รถคันดังกล่าวอาจเป็นรถตำรวจที่กำลังขับตาม และขับรถปาดหน้า แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่รถตำรวจคู่กรณี