ข่าว

"อุ๊งอิ๊ง"ครวญ"อยากให้พ่อกลับบ้าน"

"อุ๊งอิ๊ง"ครวญ"อยากให้พ่อกลับบ้าน"

04 เม.ย. 2552

ลูกชายและลูกสาว"ทักษิณ ชินวัตร" เปิดตัวหนังสือ"คนอื่นเรียกนายฯ แต่เราเรียก..พ่อ" ขณะลูกสาคนเล็ก"อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร" หลั่งน้ำตากลางเวทีครวญอยากให้พ่อกลับบ้าน

(4เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.00 น.ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ นายพานทองแท้ หรือโอ๊ค น.ส.พินทองทา หรือเอม และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ลูกชายและลูกสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือฉบับพิเศษ ชื่อ "คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก...พ่อ" ของสำนักพิมพ์ ฏ ปฏัก เขียนโดยนายสมบูรณ์ อิชยาวรกุล และ ม.ล.เฉลิมกิติ จักรพันธุ์ โดยเรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ "โอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง" โดยงานเปิดตัวหนังสือดังกลาวมีนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หรือกึ้ง เป็นพิธีกรบนเวที

 นายพานทองแท้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตั้งใจอยากทำหนังสือมานานแล้ว แต่เนื่องจากในตอนนั้นยังมีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ  จึงไม่ได้ทำออกมา แต่เวลานี้อารมณ์ได้หมดไปแล้ว เพราะได้ผ่านช่วงเวลาที่เสียใจที่สุดมาแล้ว และถึงเวลาต้องเล่าทุกอย่างเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าพวกเราต้องเจออะไรมาบ้าง การออกหนังสือเล่มนี้เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นรับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ จึงได้ตัดสินใจออกหนังสือ ซึ่งทั้งหมดมีแต่ข้อเท็จจริง

 น.ส.พินทองทากล่าวว่า จริงๆ พวกเราได้คุยกันว่าจะทำหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่กลางปี 2551 โดยไม่ได้คิดว่า หนังสือดังกล่าวจะออกมาช่วงวิกฤติการเมืองตอนนี้พอดี ซึ่งตอนแรกพ่อไม่เห็นด้วย แต่เมื่อลูกๆ ยืนยันว่าอยากทำจริงๆ พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร

 ขณะที่ น.ส.แพทองธารกล่าวถึงความรู้สึกในการทำหนังสือเล่มนี้ว่า หนังสือเล่มนี้ได้กำลังใจจากทั้งพ่อและแม่ โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดลูกๆ ได้ทำกันเอง พ่อและแม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

 ทั้งนี้ เมื่อพิธีกรถามว่าได้ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือไม่ นายพานทองแท้กล่าวว่า นำเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อ เมื่อพ่อทราบก็รู้สึกช็อกว่า ทำไมลูกทั้งสามคนจึงเปิดตัวอะไรแบบนี้ จึงไม่เห็นด้วย เพราะส่วนตัวตนเคยออกสื่อมาบ้าง แต่สำหรับน้องค่อนข้างจะเก็บตัว แต่ตอนหลังพ่อไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นความตั้งใจจริงของลูกทุกคน อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ได้รับกำลังใจจากทั้งพ่อและแม่ ส่วนรายได้ที่ได้จากการขายหนังสือจะส่งเข้าการกุศลโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

 เมื่อพิธีกรให้กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ น.ส.แพทองธารกล่าวทั้งน้ำตาว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อก็ยังเป็นพ่อ อยากให้พ่อได้กลับมาเมืองไทย กลับมาบ้าน เพื่อจะเข้าไปกอดพ่อพร้อมบอกว่า ไม่มีที่ไหนอบอุ่นเท่าเมืองไทย เมื่อถามต่ออีกว่า ถ้าให้เกิดใหม่ จะเลือกเกิดเป็นอะไร ทั้งสามคนกล่าวพร้อมกันว่า จะขอเกิดเป็นลูกพ่อและแม่อย่างนี้ตลอดไป ขณะที่เอมพูดขึ้นมาว่า ถ้าเป็นไปได้จะบอกให้ครอบครัวเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิมดีกว่า

 ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวมีบุคคลสำคัญขึ้นมามอบดอกไม้ให้กำลังใจ ได้แก่ น..ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย ครอบครัวของ น.ส.ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา หรือลิเดีย และนายแมทธิว ฉันทวานิช นักร้องหนุ่ม โดยพ่อของลิเดียและนางดารุณีได้สวมเสื้อสีแดงมาร่วมงานด้วย

 จากนั้นนายพานทองแท้ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีเมื่อใด พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยว่า พ่อจะกลับมาเร็วๆ นี้ แต่เป็นการพูดกันเอง แต่หากจะถามพ่อจะกลับเมื่อไรนั้น ลูกทุกคนอยากให้กลับพรุ่งนี้เลย เพราะทุกคนอยากให้พ่อกลับเร็ว และเชื่อว่า พ่อก็อยากกลับเร็วที่สุด แต่ถ้าเอาจริงคงไม่สามารถกะเวลาหรือไม่มีเวลาเฉพาะว่าจะเมื่อไร

 เมื่อถามว่า ทำไมถึงเลือกออกหนังสือในช่วงเวลานี้ นายพานทองแท้กล่าวว่า มองในช่วงสัปดาห์หนังสือมากกว่า ไม่ใช่เพิ่งคิดเมื่อวานนี้ อีกทั้งการออกหนังสือสักเล่มต้องเตรียมตัวมา 3-4 เดือนแล้ว สำนักพิมพ์เองก็กำหนดวันช่วงนี้ให้ตรงกับสัปดาห์หนังสือมาแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างประจวบเหมาะกับวิดีโอลิงก์ และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

 ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะไม่เจรจากับรัฐบาลและพร้อมจะดับเครื่องชน ในฐานะลูกเป็นห่วงหรือไม่ นายพานทองแท้กล่าวว่า จริงๆ พ่อคงถามหาความยุติธรรม ซึ่งลูกทุกคนเป็นห่วงพ่อ และให้กำลังใจกับทุกอย่างที่พ่อทำ แต่ว่าสิ่งที่ลูกทำวันนี้ตอนนี้ไม่ได้มีความคิดที่จะส่งเสริมอะไรเลยจริงๆ แต่เรื่องคนวิพากษ์วิจารณ์ก็ชินแล้ว เพราะจะทำอะไรก็โดนหมดอยู่แล้ว โดนอีกสักเรื่องก็เป็นธรรมดาแล้ว

 "หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องวงใน ในฐานะที่เราไม่ใช่นักการเมือง เราเป็นครอบครัวนักการเมือง อยากให้ทุกคนแยกแยะให้ออกนิดหนึ่งว่าไอ้การที่เป็นครอบครัวนักการเมืองแล้วไม่ได้เล่นการเมือง แต่โดนการเมืองเล่นมันกดดันมากแค่ไหน ทั้งหมดนี้เราไม่ได้เชียร์ ไม่ได้อะไรทั้งนั้น แค่พูดความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เราโดนอะไรมาบ้าง มันอาจมีหลายเรื่องที่ทุกคนยังไม่เคยรู้ว่าจริงหรือ จะอ่านสนุกๆ ก็ใช่ มันเป็นประสบการณ์หลายอย่างที่เราไม่เคยแชร์กับใคร" นายพานทองแท้กล่าว

 ด้าน น.ส.พินทองทากล่าวว่า ทุกคนตั้งใจทำหนังสือ ไม่เกี่ยวการเมือง ยืนยันว่า ทำในฐานะของลูก 3 คนที่อยากทำมานานแล้ว และบังเอิญมาตรงกับสัปดาห์หนังสือ จึงออกมาแบบนี้

 "เราอยากจะบอกในฐานะเป็นลูก พวกเราถูกเลี้ยงมาให้เป็นนักธุรกิจไม่ใช่นักการเมือง แต่พวกเราเกิดมาแล้วมันเป็นครอบครัวของนักการเมือง แล้ววันนี้ที่พวกเราถูกการเมืองเล่นก็คิดว่าไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่สำหรับพวกเรา ที่พูดนี้หมายถึงเฉพาะพวกเรา เลยอยากออกมาแชร์ว่า อาจมีเรื่องบางเรื่องว่าทุกคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราจริง อยากให้ทุกคน เสื้อทุกสี ได้อ่าน ในฐานะที่พวกคุณมีลูก หรือมีกลุ่มเพื่อนที่โดนอะไรแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร แล้วโดนอะไรอย่างนี้" น.ส.พินทองทากล่าว

 เมื่อถามต่อว่า หลังจากการเปิดตัวหนังสือครั้งนี้คาดหวังว่าประชาชนหรือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจมากขึ้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า อย่างที่บอกว่า แค่มีคนเข้าใจเพิ่มขึ้นสักหนึ่งคนก็จะดีใจมาก ส่วนกำลังใจที่ทำให้ผ่านมาได้คือครอบครัว เรามีครอบครัวที่เข้มแข็งจริงๆ  ส่วนข้อถามที่ว่า อยากส่งหนังสือถึงใครในบ้านเมืองหรือไม่นั้น เห็นว่า ถ้าผู้ใหญ่ท่านใดอยากทำบุญก็ยินดีให้ร่วมทำบุญด้วยกัน

 ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่เป็นประเด็นทางการเมือง โดยการนัดรวมพลคนเสื้อแดงในวันที่ 8 เมษายนนี้ หลังจากนั้นได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ซื้อหนังสือได้ขอลายเซ็น ซึ่งพบว่ามีคนสนใจซื้อหนังสือและต่อคิวขอลายเซ็นเป็นจำนวนมาก

 ส่วนเนื้อหาหนังสือ "คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก...พ่อ โ ดย "โอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง" เริ่มต้นตั้งแต่เหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำรัฐประหาร ทำให้ครอบครัวชินวัตร ต้องพลิกผันขึ้นมา นอกจากนี้ยังเล่าถึงการที่ครอบครัวต้องอยู่ห่างไกลกัน การเข้าให้ข้อมูลในคดีโอนหุ้นชิน คดีคาร์บอมม์ การใช้ชีวิตให้รั้วมหาวิทยาลัยของ เอม และอุ๊งอิ๊ง สาเหตุการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน และปิดท้ายที่หัวข้อ "วันนั้น...คงอีกไม่นานเกินรอ

 ทั้งนี้มีตอนหนึ่งของบทส่งท้ายว่า "โอ๊คว่าพ่อได้กลับก่อนนั้นแน่ เราเชื่อกันอย่างนั้น แต่ถ้าเป็น 10 ปี พ่อยังไม่กลับ โอ๊คก็บินไปอยู่กับพ่อทำงานกับพ่อ เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าต่อให้พ่อกลับมาก็จะต้องทำงานต่างประเทศมากขึ้น เพราะไม่ไว้ใจระบบในเมืองไทย คิดว่าพ่อจะได้กลับมาในอีกไม่กี่เดือนนี้ พ่อจะต้องอยู่ พ่อมีอะไรทำอีกเยอะ ก็คงช่วยพ่อทำ ถ้าพ่อไม่กลับมาก็คงไปอยู่กับพ่อ ตามความรู้สึกแล้วไม่น่าจะนาน"

 ขณะที่เอมกล่าวตอนหนึ่งว่า "ไม่มีใครในครอบครัวที่คิดว่ามันต้องจบแบบพ่อ อยู่เมืองนอกตลอด ชีวิตความหวังที่ทำให้พวกเรายังอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะเราหวังว่าจะมีสักวัน อาจจะ 5 ปี หรืออาจจะเร็วๆ นี้ที่พ่อจะได้กลับมา แล้วทุกคนจะได้เข้าใจว่าอะไรคืออะไร โอเค ในการทำงานทุกอย่างอาจจะมีที่ผิดพลาดไปบ้างไม่ใช่ว่าดีหมดถูกหมด แต่พ่อรักประเทศไทยและมีความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์ทุกพระองค์มาโดยตลาด พ่อทำงานตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทย พ่อควรได้รับความยุติธรรม"