ฝรั่งหลอกไทย? | คมชัดลึก

 ในหนังสือ “รู้ไว้...ไม่โง่” ดร.ณรงค์ได้หยิบยกเรื่องต่างๆ ซึ่งคนไทยถูกฝรั่งทำให้เชื่อ อาทิ เมื่อฝรั่งหลอกให้คนไทยเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าว เมื่อฝรั่งหลอกเลิกบริโภคกะทิ เมื่อฝรั่งหลอกให้คนไทยบริโภคถั่วเหลือง เมื่อฝรั่งหลอกให้คนไทยดื่มนม เมื่อฝรั่งหลอกคนไทยว่าไขมันเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อฝรั่งหลอกคนไทยว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อฝรั่งหลอกคนไทยให้เลิกบริโภคไข่ เมื่อฝรั่งหลอกให้คนไทยกลัวแสงแดด เป็นต้น ซึ่งทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับอาหารการกินและชีวิตประจำวันของคนไทยทั้งสิ้น

 ดร.ณรงค์ย้อนเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งรณรงค์ให้คนเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าวว่า เป็นผลมาจากสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยก่อนหน้านั้น ชาวอเมริกันนิยมใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหาร แต่เมื่อญี่ปุ่นยึดครองฟิลิปปินส์และหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางขนส่งมะพร้าวเข้าไปในสหรัฐ ทำให้อุตสาหกรรมผลิตอาหารและร้านอาหารในสหรัฐจำเป็นต้องหาน้ำมันชนิดอื่นมาใช้แทน เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ น้ำมันประกอบอาหารต่างๆ เหล่านี้ ทำกำไรให้บริษัทผู้ผลิตอย่างมหาศาล เมื่อสงครามสงบ มีความพยายามจะส่งมะพร้าวเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐตามเดิม สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน และสมาคมน้ำมันพืชอเมริกัน จึงเป็นแกนนำในการต่อต้านน้ำมันมะพร้าว โดยอ้างผลการวิจัยว่าน้ำมันอิ่มตัวซึ่งได้แก่น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีระดับคอเลสเตอรอลสูง เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวที่นำไปทดลองเป็นน้ำมันที่เติมไฮโดรเจน ซึ่งตามจริงแล้วอะไรก็ตามที่เติมไฮโดรเจนมีส่วนทำให้ผู้บริโภคเป็นโรคหัวใจได้ทั้งนั้น

 ดร.ณรงค์ได้กล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันมะพร้าวไว้หลายประการด้วยกัน เช่น ความเป็นกรดไขมันอิ่มตัว การเป็นกรดไขมันขนาดกลาง ซึ่งทำให้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้รวดเร็ว ไม่มีการสะสมไขมันในร่างกาย ช่วยเผาผลาญอาหารที่รับประทานพร้อมกัน และเผาผลาญไขมันที่สะสมอยูในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวยังมีสารฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่นแบคทีเรีย รา ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัสบางตัว รวมทั้งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เป็นต้น

 ลำพังแค่คนไทยถูกฝรั่งหลอกเรื่องน้ำมันมะพร้าวเรื่องเดียวก็สนุกสาหัสแล้วครับ และเรื่องอื่นๆ ที่เราถูกหลอกก็เจ็บปวดไม่แพ้กันหรอกครับ อย่างน้อยที่สุดการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะทำให้คนไทยรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ของฝรั่งมากขึ้น และไม่ถูกหลอกง่ายๆ อีกต่อไป

 ท้ายคอลัมน์วันนี้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัด “การประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ในระหว่างวันที่ 25-29 มกราคมนี้ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้นำด้านสุขภาพระดับสูงจากทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมกว่า 1,000 คน ซึ่งนับเป็นการประชุมประจำปีครั้งที่ 4 และการประชุมจะเป็นช่วงเดียวกับการมอบรางวัลมหิดลด้วย

 รางวัลมหิดลเริ่มขึ้นใน พ.ศ.2534 อันเป็นวาระ 100 ปี พระประสูติกาลของสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล “พระบิดาแห่งการแพทย์และสาธารณสุขของไทย” โดยทางมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลจะพิจารณามอบรางวัลแก่บุคคลหรือองค์กรที่ปฏิบัติงาน หรือมีผลงานวิจัยดีเด่นทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวม 2 สาขา ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 20  ปี