
พื้นที่ชายแดนแบบร่วมพัฒนา
เขียนงานชิ้นนี้ในช่วงที่บางส่วนของสังคมกำลังมีอารมณ์รักชาติเข้าขั้นรุนแรงก็ค่อนข้างจะลำบากอยู่สักหน่อย เอาเป็นว่าในฐานะที่พอจะอ้างอิงได้บ้างว่าสนใจเรื่องราวที่ชายแดนก็จะขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์เล็กๆ สักนิดหน่อย
...ว่าสังคมไทยนั้นค่อนข้างมี "ความเข้าใจ" เรื่อง "ชายแดน" ของตัวเองไม่ค่อยมากนัก
...แต่สังคมไทยมี "จินตนาการ" เรื่อง "พรมแดน" มากอยู่สักหน่อย
ในความหมายว่า เรามองเรื่องราวทุกอย่างจากส่วนกลางออกไป มองว่าทั้งประเทศนั้นประกอบด้วย "ภูมิกายา" ชุดเดียวกัน ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเราที่จะไม่ให้ใครรุกราน
ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งก็มองเรื่องราวทุกอย่างแบบเพ้อฝันพอกัน โดยมองว่าประเทศของเราไม่มีพรมแดนจริง มีแต่ความลื่นไหลทางวัฒนธรรมของคนที่ข้ามแดนไปมา
สิ่งที่เป็นจริงก็คือแต่ละพรมแดนนั้นมีลักษณะที่เป็นทั้งพรมแดนและชายแดน คือมีทั้งส่วนที่ชัดเจนและลื่นไหล และล้วนแต่ได้รับการกำหนดขึ้นจากเงื่อนไขในแต่ละพื้นที่นั้นๆ
ที่ว่ามีส่วนของพรมแดน ก็ต้องเข้าใจว่าหลักเขตแต่ละที่สำคัญ และต่างฝ่ายต่างมีพรมแดนของตัวเอง ในความหมายที่ว่าเมื่อเราออกจากพรมแดนหนึ่ง เราก็จะยังใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าอีกพรมแดนหนึ่ง ในความหมายของการเดินออกจากด่านพรมแดนไทย ก็ยังเดินข้ามสะพาน ก่อนจะเข้าด่านพรมแดนพม่า หรือเขมร
ขณะที่ในบริเวณที่ไม่มีด่านพรมแดน พรมแดนอาจจะเป็นเส้นเป็นหลักที่ไม่มีความหมายใดๆ มากนัก และซ้อนทับกันพอดี
ในกรณีของเขมร-ไทยนั้น หลักการปฏิบัติก็ไม่เหมือนไทย-พม่า เช่นว่าข้ามไทยพม่านั้นเราใช้บัตรผ่านแดนที่ทำที่ชายแดนด้วยบัตรประชาชนก็ได้ ขณะที่ไทยเขมรนั้นเราต้องใช้พาสปอร์ต (แต่คนพื้นถิ่นใช้บัตรผ่านแดน)
แต่ความเข้มงวดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีความเป็นชายแดน ด้วยว่า กรณีของพรมแดนใหญ่ที่คลองลึก หรือที่เรียกว่าตลาดโรงเกลือ-ปอยเปตที่มีด่านนั้น เราเดินออกจากด่านไทย แต่ในช่วงที่เรายังไม่ได้ผ่านเข้าไปยังด่านเขมร กลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีบ่อนกาสิโนมากมาย
ทั้งที่โดยหลักเขตแล้วเป็นพื้นที่ของเขมรแล้ว แต่เนื่องจากยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวด่านพรมแดนเขมร (ในอดีตคือพื้นที่ที่ต้องตรวจวีซ่า) เราก็ไม่มีหลักฐานว่าเข้าไปยังพรมแดนเขมรจริงๆ และไม่ต้องเสียเงินวีซ่าหรือขอวีซ่าเข้าเขมร
พูดง่ายๆ ว่ามีหลักฐานว่าออกไปจากพรมแดนไทยเป็นการชั่วคราว และก็ยังไม่ต้องเกี่ยวเนื่องกับการทำวีซ่าเข้าเขมรที่มีราคาแพงและไม่ง่ายนัก (บ้างว่าเดี๋ยวนี้ยกเลิกไปแล้ว หรือถ้ายังก็ใกล้ยกเลิกเต็มที)
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องของภาษาที่เราเรียกให้หรูว่าพื้นที่พัฒนาร่วมอะไรหรอกครับ แต่ต้องไปดูกันด้วยตา และข้ามกันจริงๆ จะได้เข้าใจเรื่องพรมแดนและชายแดนจากพื้นที่จริงว่าการสร้างความคลุมเครือนั้นเป็นที่มาของความมั่งคั่งได้
และดังที่เราเคยได้ยินภาษิตว่า "รั้วสร้างเพื่อนบ้านที่ดี" อันนี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นรั้วลวดหนามหรอกครับ รั้วล้ำไปล้ำมาแล้วเก็บกินประโยชน์ร่วมกันก็พอไปได้ครับผม