ข่าว

เปิดธุรกิจ..."ขายไข่"มนุษย์

เปิดธุรกิจ..."ขายไข่"มนุษย์

02 มี.ค. 2554

หลังการบุกทลายบริษัท เบบี้ 101 จำกัด ซึ่งเปิดให้บริการผู้มีบุตรยากด้วยวิธีการอุ้มบุญของ นายโหลว เสียง หลง สัญชาติไต้หวัน นอกจากพบสาวเวียดนามที่ถูกบังคับและเต็มใจรับจ้างตั้งครรภ์ 14 รายแล้ว

จากการตรวจยึดเอกสารสำคัญต่างๆ ของบริษัท จนทำให้ทราบว่ามี "นักศึกษาสาวไทย" ของมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งเกือบ 30 คน มีรายชื่อพัวพันกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายนี้ ทั้งการ "รับจ้างอุ้มบุญ" และ "ขายไข่" เพื่อนำไปผสมกับเชื้ออสุจิของชาวต่างชาติที่ต้องการจะมีบุตร ด้วยความเต็มใจเพราะ "เงินดี" !!

 "คม ชัด ลึก" สอบถามไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานสำคัญจำนวนมากของสาวไทยรายหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเอกสารในการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ตลอดทั้ง 9 เดือน และมีเอกสารระบุว่า เป็นนักศึกษาจากมหาวิยาลัยชื่อดัง ชื่อ "น.ส.เอ" (นามสมมติ) แต่เสียงปลายสายปฏิเสธว่า ไม่ได้มีชื่อตามที่อ้างอยู่ในเอกสารสำคัญที่ยึดมาจากบริษัท เบบี้ 101 จำกัด พร้อมทั้งปฏิเสธว่าไม่ใช่คนที่รับจ้างอุ้มบุญ และตัดบทว่า ลูกไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็ตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง และไม่สามารถติดต่อได้อีก

 ขณะที่สาวไทยอีกหลายรายปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับบริษัทดังกล่าว แต่เคย "ขายไข่" ให้แก่คลินิกแห่งหนึ่งเท่านั้น "น.ส.บี" (นามสมมติ) อายุ 23 ปี อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ยอมรับว่า เพื่อนเคยแนะนำให้มาขายไข่ให้แก่คลินิกหรูแห่งหนึ่ง ย่านราชประสงค์ โดยเพื่อนนักศึกษาแนะนำให้ทำลักษณะนี้ แต่การทำไม่ได้ทำกับบริษัท เบบี้ 101 จำกัด

 "ตอนนั้นกรอกประวัติส่วนตัวอย่างละเอียด ให้แพทย์ตรวจร่างกายและกรอกเอกสารเกี่ยวกับการบริจาคไข่ หลังจากนั้นแพทย์ก็ฉีดยา 1 เข็มแล้วให้กลับบ้าน และนัดวันมาเก็บไข่ หมอบอกว่าเก็บได้ 16 ใบ และอธิบายว่าการเก็บไข่หรือบริจาคไข่ทำได้ครั้งเดียว แล้วก็ได้รับเงิน 3 หมื่นบาทกลับบ้าน ที่ผ่านมาเคยขายไข่ที่คลินิกแห่งนี้ที่เดียวและครั้งเดียว ไม่รู้ว่าบริษัทที่ถูกจับกุมมีประวัติของฉันได้อย่างไร" น.ส.บี สงสัย

 น.ส.บียังบอกอีกว่า เพื่อนๆ นักศึกษาหลายคนก็มักทำแบบนี้ เพราะหาเงินง่ายดี เพื่อนบางคนไปบริจาคที่คลินิกอีกแห่งได้เงินมาตั้ง 5 หมื่นบาท แต่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะฉีดยากระตุ้นมากเกินไปจนเก็บไข่ได้ 60 ฟอง แต่โรงพยาบาลก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษาตัว

 เช่นเดียวกับ "น.ส.ซี" (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ว่าที่บัณฑิตมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านหัวหมาก กรุงเทพฯ ยอมรับว่า เคยขายไข่ให้แก่คลินิกแห่งหนึ่ง แพทย์เก็บไข่ได้ 14 ใบ และหลังจากรับเงินแล้วยังเฝ้าติดตามว่า "ไข่" เดินทางไปอยู่ที่ใด

 “คิดว่าการบริจาคไข่เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งนะ แม้ว่าได้เงินกลับมา แต่คู่สามีภรรยาที่ได้รับไข่ของฉันไปก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว หลังจากขายไข่ไปแล้วก็ยังคอยติดตามดูจนรู้ว่าไข่ของฉันถูกนำไปผสมกับน้ำเชื้อของชาวต่างชาติแถวๆ ทวีปเอเชีย แต่เสียดายที่ไข่ของฉันที่ถูกอุ้มไว้หลุดก็รู้สึกสงสารพวกเขาเหมือนกัน" น.ส.ซี กล่าว

 ขณะที่  "น.ส.ดี"  (นามสมมติ) อายุ 22 ปี พริตตี้สาวซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ยอมรับว่า รู้จักบริษัท เบบี้ 101 จำกัด มาจากออแกไนเซอร์ เคยชักชวนให้มาทำงานที่บริษัทนี้ จึงมาสมัครงานที่บริษัทนี้กับเพื่อนอีก 2 คน พอเขียนในสมัครเสร็จ ถึงรู้ว่าต้องอุ้มท้องด้วยก็รู้สึกตกใจและไม่คิดจะทำ แม้ว่าเจ้าหน้าที่บริษัทจะแจกแจงรายได้ต่างๆ รวมแล้วเกือบ 2 แสนบาทก็ตาม

 สำหรับขั้นตอนการขายไข่ของหญิงสาวนั้น แพทย์ด้านสูตินรีเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อธิบายว่า หญิงที่จะขายไข่ แพทย์ต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก่อนฉีดยากระตุ้นฮอร์โมน พอถึงเวลาต้องกลับมาที่คลินิก หรือโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ใช้เครื่องมือสอดเข็มดูดไข่ที่ตก โดยจะต้องได้มากกว่า 1 ฟอง หลังจากที่ได้ไข่ออกมาก็ต้องมีอุปกรณ์เก็บอย่างดีในตู้ควบคุมอุณหภูมิเพื่อรอการผสมเทียม

 "การที่แพทย์ที่กระทำแบบนี้ เชื่อว่าไม่ผิดกฎหมาย หรือแม้แต่จรรยาบรรณแพทย์ก็อาจไม่เข้าข่าย เว้นเสียแต่ก็นี้ฉีดยากระตุ้นฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้ไข่ตกมาจำนวนมาก จนเป็นอันตรายต่อเจ้าของไข่ หากถึงแก่ชีวิตก็เข้าข่ายผิดกฎหมาย" แพทย์รายเดิมระบุ