ข่าว

“ตำลึง”สรรพคุณ108! ลดน้ำตาลในเลือดชะงัด!

“ตำลึง”สรรพคุณ108! ลดน้ำตาลในเลือดชะงัด!

14 ก.ค. 2559

โดย - นายสวีสอง

 

          "ตำลึง”ผักที่ขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา มักชอบขึ้นตามแนวริมรั้ว ริมทางเดิน มีชื่อเรียกต่างกันว่า ผักแคบ แคเด๊าะ สี่บาท และผักตำนิน มี 2 ชนิด คือตำลึงตัวเมียและตำลึงตัวผู้ ที่เรากินยอดกินใบกันอยู่นี้เป็นตำลึงตัวเมีย นับเป็นพืชสมุนไพรใกล้ตัวเราชนิดที่หลายคนมองข้ามสรรพคุณทางยาของมันที่มีมากมาย 

         เป็นไม้เถาเลื้อยมีมือเกาะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cocconia grandis (L.) Voigt ลำต้นหรือเถาสีเขียว ทอดยอดไปเกาะตามหลัก ต้นไม้ ฯลฯ    

          ใบ เป็นใบเดี่ยว สลับกันไปมาตามเถา โคนของใบมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ 

          ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ มีสีขาว 

          ผล เหมือนแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า สีเขียวมีลายสีขาว พอสุกจะกลายเป็นสีแดง ข้างในมีเมล็ด

          ขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ด ขึ้นได้ทุกสภาพดิน

           สรรพคุณทางยา โรคเบาหวาน : ใช้เถาแก่ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้,ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ : ควรรับประทานสดๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน,ลดอาการคัน อักเสบจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษ : นำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดีกับมดคันไฟ หรือใบตำแย)

           แผลอักเสบ : ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็น,แก้งูสวัด, เริม : ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ,แก้ตาช้ำตาแดง : ตัดเถาเป็นท่อนยาว 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา,ทำให้หน้าเต่งตึง : นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย ผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดี
               - ใบใช้ในการแก้ไข้ ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ
               - เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง
               - ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้
               - รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า
               - น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด

            ข้อควรระวัง - ตำลึงมีทั้งตำลึงตัวผู้ และตำลึงตัวเมียดังกล่าวข้างต้น เป็นตัวเมียกินได้ไม่มีปัญหา หากเป็นตัวผู้ คนที่มีธาตุอ่อนอาจทำให้ท้องเสียได้!! ฉะนั้น ต้องสังเกตให้ดี (ตัวผู้หรือตัวเมียให้ดูได้จากลักษณะของใบ ดังในภาพ4-5)