ครอบครัวนักแข่งแรลลี่สังเวยเมาขับ!
ครอบครัวนักแข่งแรลลี่สังเวยเมาขับ! : ศุภกร อรรคนันท์รายงาน
โศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุคร่าชีวิตครอบครัว "บุญช่วยเหลือ" ทำให้ นายวรพจน์ บุญช่วยเหลือ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ 5 ต.ชากโดน อ.แกลง จ.ระยอง อดีตนักแข่งแรลลี่ เคยคว้าแชมป์เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ มาแล้ว 3 สมัย เสียชีวิตพร้อมกับ น.ส.ดาราธร ทองสุข อายุ 38 ปี ภรรยา และบุตรสาว ด.ญ.พิทยาภรณ์ บุญช่วยเหลือ อายุ 8 ขวบ เป็นที่สลดใจของญาติผู้เสียชีวิตและเพื่อนในวงการแข่งรถอย่างมาก
คืนเกิดเหตุ เวลา 01.10 น. วันที่ 4 ตุลาคม 2557 นายวรพจน์ขับรถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ จิมนี่ สีเขียว รุ่นคาริเบียน ทะเบียน วล 14 กรุงเทพมหานคร ขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ได้ชะลอความเร็วลง เพื่อรอการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งจุดตรวจสกัดอยู่ ทันใดนั้น นายศิวาวุธ มุขธระโกษา อายุ 26 ปี ขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา ทะเบียน บท 3797 เลย สภาพโหลดเตี้ย ขับตามหลังมาด้วยความเร็วสูง ได้พุ่งเข้าชนท้ายอย่างจังโดยไม่ได้เบรกแต่อย่างใด
แรงกระแทกเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมเกิดไฟลุกไหม้ที่ด้านท้ายรถยนต์ของนายวรพจน์อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุพยายามใช้น้ำยาเคมีเข้าฉีดสกัดเพลิง แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนเวลาผ่านไปกว่า 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ตรวจสอบภายในรถพบศพพ่อแม่ลูกถูกไฟคลอกเสียชีวิต
นอกจากนี้ยังมีรถยนต์ที่ชะลอการตรวจค้นอีก 2 คัน ที่ขับอยู่ด้านหน้าได้รับความเสียหาย คือ ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน ฒท 480 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมี ด.ต.วีระยุทธ จุ้ยเจนรบ อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แสนสุข เป็นผู้ขับขี่ อีกคันเป็นรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ ทะเบียน ษษ 3045 กรุงเทพมหานคร มีนายเรืองทรัพย์ ราษฎรนิยม อายุ 30 ปี เป็นคนขับขี่ ได้รับบาดเจ็บ
สำหรับนายวรพจน์พร้อมครอบครัว ก่อนเกิดเหตุได้เดินทางกลับจาก จ.เชียงราย หลังจากขายที่ดินได้เงินมาจำนวนหนึ่ง โดยนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นจะเดินทางกลับบ้านพักที่คอนโดมิเนียมใน ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ ซึ่งผู้ตายขับรถมาใกล้จะถึงที่พักแล้วหากไม่เกิดอุบัติเหตุสยองเสียก่อน
นายสุทัศน์ บุญช่วยเหลือ พี่ชายของผู้ตาย กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า นับว่าเป็นการสูญเสียบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ ไม่น่าจะมาเสียชีวิตเพราะการตั้งด่าน ซึ่งต้องโทษตำรวจครึ่งหนึ่งและคนขับรถตีนผีครึ่งหนึ่ง กรณีเกิดเหตุครั้งนี้ ทางเราไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ซึ่งใครก็ไม่อยากให้เกิด
"แต่สิ่งที่เกิดมีเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งในการตั้งจุดสกัด โดยการตั้งจุดสกัดตามกฎหมายมีอยู่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ระยะมองเหตุต้อง 150 เมตร แต่นี่ระยะมองที่ตำรวจตั้งจุดตรวจสกัดมองเห็นไม่ถึง 150 เมตร จึงทำให้รถที่มาเป็นคันสุดท้ายซึ่งเป็นคันที่ 4 เท่านั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เพราะฉะนั้นการตั้งจุดตรวจสกัดตำรวจเองต้องพึงระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างปฏิบัติหน้าที่" นายสุทัศน์ ตั้งข้อสังเกต
พร้อมสะท้อนว่า ที่สำคัญผู้ตายคือนายวรพจน์ เป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศมากมาย ในสนามแข่งเขาเป็นแชมป์ สร้างคุณประโยชน์เยอะแยะ แต่ต้องมาเสียชีวิตในลักษณะอย่างนี้ มันไม่ใช่ ถ้าไม่มีด่านก็คงไม่มีคนเจ็บ ไม่มีคนตาย และไม่มีเหตุอย่างนี้เกิดขึ้น ก็อยากจะบอกว่า การตั้งด่านมีได้สองทางคือ ตั้งให้เขารู้ว่าข้างหน้ามีด่านนะ โอเคก็จะทำให้ตรงนั้นปลอดภัย แต่การตั้งด่านที่ไม่ให้เขารู้ คือกรวยสองข้างทางมีอยู่ 10 อันเอง มันก็กลายเป็นเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องของตน
นายนุชดาล ทรงกลด เพื่อนสนิทของนายวรพจน์ บอกว่า การสูญเสียครั้งนี้เปรียบเสมือนกับสูญเสียบุคลากรที่สำคัญของประเทศไทยไปคนหนึ่ง เพราะนายวรพจน์สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยอย่างมากมายในการแข่งขันแรลลี่ ที่สำคัญยังเป็นบุคคลสำคัญปั้นลูกชายของตน ด.ช.กีรเกียรติ ทรงกลด อายุ 13 ปี จนได้แชมป์ประเทศไทยรถกระบะโอเพ่น ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
"ผมนับถือเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ปกติจะเรียกว่า พี่เดช บ้านอยู่ใกล้กัน และกำลังฝึกฝนลูกชายผมให้เป็นนักขับรถ วันนี้ลูกชายยังช็อกไม่หาย โครงการจะปั้นให้เป็นนักแข่งขับรถระดับโลกต้องหมดไป เพราะขาดครูที่ดีมีฝีมือ" นายนุชดาล กล่าว
เขาทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากให้มีบทลงโทษอย่างรุนแรงกับผู้ที่เมาสุราขับขี่รถ เพราะเท่าที่ดูจากที่เกิดเหตุไม่มีรอยเบรก เป็นการชนอย่างรุนแรง
หลังจากญาติผู้ตายออกมาตั้งข้อสังเกตในการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้รับการชี้แจงจาก พ.ต.ท.สนั่น คงรัตน์ รอง ผกก.ป.สภ.เสม็ด ว่า จุดที่ตั้งด่านสกัดนั้นมีแผงไฟที่ชัดเจน และตั้งตามยุทธวิธีของตำรวจที่ถูกต้อง พร้อมกับใช้สัญญาณไฟวับวาบของรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คัน โดยวางกรวยบีบจาก 3 เลน ให้เหลือเพียง 1 เลน โดยที่วางกรวยเป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 150 เมตร พร้อมกระบอกไฟกะพริบเสียบอยู่บนกรวย ให้คนเห็นชัดเจนว่าเป็นจุดตรวจสกัดของตำรวจ
"จากจุดไฟแดงสามแยกอ่างศิลา ถึงจุดตรวจสกัด ที่เป็นบริเวณที่เกิดเหตุระยะทาง 2.6 กิโลเมตร เป็นทางตรง เพราะฉะนั้นเราใช้เส้นทางดังกล่าวตั้งจุดตรวจสกัดในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเส้นทางอับลับสายตาผู้คน สัญญาณไฟของจุดตรวจสกัดที่เป็นไฟวับวาบสามารถมองเห็นไม่น้อยกว่า 150 เมตร อย่างแน่นอน" พ.ต.ท.สนั่น กล่าวยืนยัน
ขณะที่ นายศิวาวุธ มุขธระโกษา ผู้กระทำผิดและได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ม.บูรพา เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดพบว่ามีเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 128 มิลลิกรัม ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมีไม่เกิน 50 มิลลิกรัม เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า นายศิวาวุธมีอาการเมาแน่นอน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอายัดตัวไว้สอบสวน พร้อมกับตั้งข้อหาขับรถในขณะเมาสุราโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
ส่วนการสอบสวน ในคืนเกิดเหตุทราบว่า นายศิวาวุธเพิ่งกลับจากงานกินเลี้ยงบริษัท ซึ่งทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ชลบุรี จึงวิเคราะห์ได้ว่า อุบัติเหตุที่ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสามพ่อแม่ลูกครั้งนี้ เกิดจากการกระทำของผู้ขับขี่ ซึ่งเมาแล้วขับ
นางศรีสัจจา (สงวนนามสกุล) แม่บุญธรรมของนายศิวาวุธ บอกว่า ได้ย้ายนายศิวาวุธไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย ซึ่งอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดีขึ้น แต่ยังมีอาการซึมเศร้าต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวันฌาปนกิจศพผู้ตายทั้ง 3 คน นายศิวาวุธจะเดินทางไปร่วมงานศพ แล้วช่วยเหลือค่าทำศพในเบื้องต้นไปก่อน ส่วนการรับผิดชอบจะพูดคุยกันหลังเสร็จจากงานศพ รวมไปถึงการช่วยเหลือในเรื่องประกันภัยอุบัติเหตุของรถยนต์ที่มีสองบวกทั้งฝ่ายก่อเหตุและฝ่ายผู้เสียหายอีกด้วย
จากเหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า แม้รัฐบาลหรือองค์กรเอกชนที่ออกมารณรงค์เรื่องเมาไม่ขับอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีบทลงโทษ แต่สุดท้ายก็ยังเกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตอยู่เป็นประจำจากน้ำมือคนเมาแล้วขับ !
-----------------------------------------
(หมายเหตุ : ครอบครัวนักแข่งแรลลี่สังเวยเมาขับ! : ศุภกร อรรคนันท์รายงาน)