ข่าว

จักรทิพย์ ไล่พ้น สตช. พิษคลิปเสียงเด้ง วิระชัย พ่วง บิ๊กช้าง

จักรทิพย์ ไล่พ้น สตช. พิษคลิปเสียงเด้ง วิระชัย พ่วง บิ๊กช้าง

24 ม.ค. 2563

เด้ง วิระชัย ไปสำนักนายกฯ ตั้งกรรมการสอบมีพฤติการณ์ทำราชการเสียหาย พ่วง บิ๊กช้าง เพื่อนร่วมรุ่นที่คุมปราบน้ำมันเถื่อนถูกย้ายเข้ากรุ ศปก.ตร.

 

               วันที่ 24 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มีคำสั่งที่ 29/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม เรื่องกำหนดลักษณะงานและมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้จเรตำรวจแห่งชาติ รอง ผบ.ตร. ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รองจเรตำรวจ และผู้บัญชาการประจำ

 

 

 

               ตามที่มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 22/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม ให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 28/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม ให้ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม ทั้งนี้ได้มีคำสั่งยกเลิกการมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบกำกับดูแล รวมทั้งสั่งและปฏิบัติราชการในส่วนงานที่อยู่ในงานด้านกฎหมายและคดี งานด้านปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ในส่วนรับผิดชอบของ พล.ต.อ.วิระชัย และยกเลิกงานด้านสืบสวนสอบสวน ในส่วนของ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์

               พร้อมกันนี้ ได้มีคำสั่งมอบหมายให้ พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี และงานปราบปรามด้านละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบส่วนงานด้านสืบสวนสอบสวน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนเแปลง

 

 

 

               ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เรื่องสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องจริง ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมีเหตุผลมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานว่า พล.ต.อ.วิระชัย มีพฤติการณ์และการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยการยุติธรรมและกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 24/2563 ลงวันที่ 21 มกราคมแล้ว

 

 

 

               ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และเรื่องอื่นๆ ในมูลกรณีที่ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบให้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีความน่าเชื่อถือ และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแก่ประชาชนและผู้ร้องเรียน สมควรพิจารณาสั่งการให้ พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม และให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม โดยเบิกจ่ายจากสังกัดเดิม ตั้งแต่บัดนี้เป็นตันไปจนกว่าจะมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประการอื่น

 

 

 

               พ.ต.อ.กฤษณะ ยังกล่าวกรณีมีคำสั่งย้าย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.ว่า ขอเรียนชี้แจงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาต มีคำสั่งที่ 28/2563 เรื่อง ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่ชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และข้อ 8(1) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 จึงให้ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการ ศปก.ตร.มอบหมาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

 

 

 

               ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าเป็นผู้เสนอให้มีการโยกย้ายพล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี จากประเด็นการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างตนกับ พล.ต.อ.วิระชัย ปมปัญหาการยิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นปัญหาต่อเอกภาพขององค์กร โดยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีมติเสนอโยกย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หากอยู่เกรงจะเป็นอุปสรรคปัญหา

               ส่วนกรณีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.นั้น ผบ.ตร.กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เพื่อความเหมาะสมเท่านั้น

 

 

 

               รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุการย้าย “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย ครั้งนี้ เป็นเรื่องคลิปเสียงที่ถูกนำมาเผยแพร่ทางโซเชียล ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขณะปฏิบัติราชการอยู่ต่างประเทศ ส่วน พล.ต.อ.วิระชัย รอง ผบ.ตร. อยู่ระหว่างรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ซึ่งเนื้อหาการสนทนานั้น ผบ.ตร.เบรกไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คู่กรณีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่กำลังมีเรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับเครื่องไบโอเมทริกซ์ เนื้อหาการสนทนาของทั้งคู่บางส่วน ผบ.ตร ระบุว่า “ห้ามออกไปแถลงข่าว สั่งการไปแล้วรอรายงานก็พอ เหมือนเตี๊ยมกันมา ..นึกว่ามีวุฒิภาวะพอไม่ไปเอาเรื่องส่วนตัว 2 คน มาร่วมด้วย..รู้ว่าคิดอะไรอยู่..โตป่านนี้อายุขนาดนี้แล้ว ให้ “พล.ต.ท.” มาสั่ง “พล.ต.อ.” อยู่สำนักนายกฯ อยู่คนละที่กัน”

 

 

 

               ข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้รายงานต่อนายกฯ โดยตรง เพื่อขอให้ย้ายไปสังกัดสำนักปลัดฯ โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถทำงานกับพล.ต.อ.วิระชัยได้ พร้อมกับยกกรณีมีการอัดเทปการสนทนาระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย ว่าทำแบบนี้ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสื่อมเสีย จึงขอให้นายกฯย้ายขาดจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

               ส่วนการย้าย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ นั้น เป็นเรื่องที่ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์เป็นประธานศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อน แต่มาเกิดเหตุกรณี โจ้ น้ำมันเถื่อน เมื่อนายกฯ ทราบเรื่องก็ได้สอบถามไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับรายงานกลับมาว่าเป็นความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการย้าย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ซึ่งมีเสียงลือกันว่าตกเป็นแพะให้แก่คนบางคน

 

 

 

               มีรายงานว่า ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่องให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง จึงเห็นสมควรกำชับให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กลั่นแกล้ง ดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น เป็นต้น

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีคำสั่งย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี บรรยากาศที่ห้องทำงานของ พล.ต.อ.วิระชัย เงียบเหงาลงทันที โดยมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียง 2-3 นายเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ภายในห้องทำงาน บอกว่า วันนี้ พล.ต.อ.วิระชัย ติดประชุมงานภายนอก และไม่ได้เข้ามาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว

 

 

 

               อย่างไรก็ตาม เมื่อโทรศัพท์ติดต่อไปยัง พล.ต.อ.วิระชัย เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีผู้รับสายแต่ไม่ใช่ พล.ต.อ.วิระชัย บอกเพียงว่า “นายไม่สะดวกรับสาย อยู่ระหว่างการบรรยายพิเศษหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการระดับสูง" ก่อนจะวางสายไป

               ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ไม่รู้สึกเสียขวัญ โดยเชื่อมั่นว่า ผู้บังคับบัญชามีเหตุผล ซึ่งส่วนตัวไม่ขอแสดงความเห็นถึงเหตุผลที่ระบุไว้ในคำสั่ง