ป.ป.ส. จับ "ยาเค "ครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ กว่า 11.5 ตัน มูลค่า 28,750 ล้านบาท
"สมศักดิ์" เผย ป.ป.ส.บุกจับยาเคครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กว่า 11.5 ตัน มูลค่า 28,750 ล้านบาท เตรียมส่งออกนอกประเทศ ลั่น พร้อมขยายผลยึดทรัพย์ตามนโยบายรัฐบาล
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เดินทางมาตรวจสอบการตรวจยึดเคตามีนเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ หลังจากที่ ป.ป.ส.ได้รับข้อมูลจากทางการไต้หวันว่า มีการลักลอบส่งออกเคตามีน 300 กิโลกรัม ไปยังไต้หวัน ซึ่งจากการสืบสวนพบโกดังต้นทาง ตั้งอยู่ที่โกดัง ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา จึงเข้าตรวจค้น จนกระทั่งพบเคตามีน บรรจุในถุงกระสอบรวมน้ำหนักประมาณ 11,500 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 28,750 ล้านบาทตามราคาขายปลีก ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดที่เคยจับมาในประเทศไทย และน่าจะเป็นเครือข่ายส่งออกยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ จึงเตรียมสืบสวนจับกุมขยายผลเครือข่ายยาเสพติดรายนี้ พร้อมดำเนินการยึดทรัพย์สินต่อไป
นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า การตรวจค้นครั้งนี้เป็นการบูรณาการของโครงการสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่อากาศยาน (AITF) ซึ่งมีความร่วมมือระหว่างตำรวจปราบปรามยาเสพติด ทหาร ศุลกากร การท่า และหน่วยงานจากกลุ่มอาชีพ และกำลังสำคัญ คือ ป.ป.ส.ที่เข้าติดตามเครือข่ายนี้มานานถึง 2 เดือน จนกระทั่งทราบว่าโกดังแห่งนี้มีการนำยาเคตามีนเป็นจำนวนมาพักไว้ เพื่อเตรียมจะส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งเป็นปลายทางของการส่งยาครั้งนี้ โดยยาเคตามีนนั้นจะนิยมใช้ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ นักท่องราตรียามค่ำคืน เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะเกิดอาการประสาทหลอน และทำร้ายระบบของสมองอีกด้วย
ด้าน เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า เส้นทางการลำเลียงยาเสพติดนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบประเทศต้นทาง แต่เชื่อว่ามีการลำเลียงผ่านบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย ก่อนนำเข้ามาพักที่โกดังแห่งนี้ ซึ่งจากการตรวจสอบ พบผู้ต้องสงสัยเป็นคนไทยจำนวน 2 คน ทำหน้าที่ในการลำเลียง ยาเคตามีนทั้งหมดมาไว้ที่โกดังนี้ เชื่อว่า เบื้องหลังเป็นแก็งค้ายาข้ามชาติ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัวและขยายผลต่อไป
ด้าน พล.ต.ท. มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า คดีนี้ เป็นคดีใหญ่ระดับโลก ทางตำรวจปราบปรามยาเสพติดจะทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนร่วมกับ ป.ป.ส. และหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อนำผู้ต้องหามาดำเนินคดี และทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป