"ศาลเเพ่ง" เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ย คืนค่าธรรมเนียมศาล ถึง 31 มี.ค.66
สนองนโยบาย ปธ.ศาลฎีกา "ศาลเเพ่ง" เปิด Smart Mediation ไกล่เกลี่ย คืนค่าธรรมเนียมศาล ถึง 31 มี.ค.66 จากเดิมร้อยละ 2 เหลือเก็บไม่ต่ำ 200 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 8.30 น.วันที่ 18 ตุลาคม ที่ชั้น 1 อาคารศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายฉัตรชัย ไทยโชต อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง เป็นประธานเปิด โครงการ “Smart Mediation รักศาล ร่วมใจไกล่เกลี่ย สานสัมพันธ์ด้วยดี มีคืนค่าขึ้นศาล”
โดยมี นายสุวิชา สุขเกษมหทัย รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง กล่าวรายงานความว่า การเปิดโครงการ "Smart Mediation รักศาล ร่วมใจไกล่เกลี่ย สานสัมพันธ์ด้วยดี มีคืนค่าขึ้นศาล" ในวันนี้ ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมมีนโยบายในการสนับสนุนและพัฒนาระบบ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยการนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ควบคู่กับการพิจารณาคดี ของศาลในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน และตามยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ.2565-2568 ยุทธศาสตร์ T เชื่อมั่นศรัทธาการอำนวยความยุติธรรม (Trusted Justice) ซึ่งการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเป็นหนึ่งในการระงับข้อพิพาททางเลือก ที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และประสานการระงับข้อพิพาท เพื่ออำนวยความ ยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับของคู่ความและประชาชน
ตลอดจนเปิดโอกาส ให้คู่ความได้เจรจายุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นด้วยความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรม ในการนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของสำนักงานศาลยุติธรรมและเพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ศาลแพ่งจึงได้จัดโครงการ “Smart Mediation รักศาล ร่วมใจไกล่เกลี่ย สานสัมพันธ์ด้วยดี มีคืนค่าขึ้นศาล” โดยการสนับสนุนให้มีการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในระหว่างการพิจารณาคดีโดยท่านผู้พิพากษามากยิ่งขึ้น หรือพิจารณาดำเนินการคัดเลือกคดีที่สมควร เข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมายังศูนย์ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทประจำศาลแพ่ง เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดปริมาณคดีที่ต้องพิจารณาครบองค์คณะหรือคดีที่ต้องรอการพิจารณาคดี ต่อเนื่องลงโดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 17 ต.ค.65 - 31 มี.ค.66
นายฉัตรชัย อธิบดีผู้พิพากษาศาลเเพ่งกล่าวว่า การจัดโครงการ “Smart Mediation รักศาล ร่วมใจไกล่เกลี่ย สานสัมพันธ์ ด้วยดี มีคืนค่าขึ้นศาล” เป็นหนึ่งในนโยบายของตนที่จะช่วยสนับสนุนและพัฒนาระบบ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยการนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ควบคู่กับการพิจารณาคดี ของศาลในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นหนึ่งในการระงับข้อพิพาททางเลือกที่มีความสำคัญ ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน โดยหากคู่ความตกลงกันได้ จะทำให้คดีที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาลเสร็จไปจากศาล อันเป็นการลดปริมาณคดีของศาลและเป็นประโยชน์ แก่ทางราชการ และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับคู่ความที่สามารถตกลงระงับข้อพิพาท กันได้ ศาลแพ่งโดยผู้พิพากษาสามารถคืนค่าขึ้นศาลเป็นกรณีพิเศษให้แก่คู่ความที่ถอนฟ้อง หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามโครงการ “Smart Mediation รักศาล ร่วมใจ ไกล่เกลี่ย สานสัมพันธ์ด้วยดี มีคืนค่าขึ้นศาล" โดยให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่า 200 บาท ได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ ดังกล่าวจะช่วยให้ปริมาณคดีที่จะเข้าสู่กระบวนการสืบพยานของศาลลดลงและทำให้ ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินคดี เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุน การอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนต่อไป
หลังจากนั้นนายฉัตรชัย คณะผู้บริหารศาลแพ่ง เยี่ยมชมศูนย์ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทประจำศาลเเพ่งที่บริเวณชั้น 12
นายสุวิชา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทางศาลแพ่งเล็งเห็นว่า ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากรวมถึงการนำคดีมาฟ้องต่อศาล ที่จะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าขึ้นศาลร้อยละ2บาท ซึ่งก็เป็นจำนวนสูงพอสมควร บางคดีค่าฤชาธรรมเนียม 2-3 เเสนบาท ซึ่งหลังคำพิพากษาคนที่ต้องรับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมนี้ก็คือคนที่แพ้คดี ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลย ซึ่งค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวก็จะถูกจัดเก็บเข้ารัฐ
แต่อย่างไรก็ตามศาลแพ่งเรามีนโยบายว่าหากคู่ความนำคดีเข้ามาไกล่เกลี่ยไม่ว่าจะในศูนย์ไกล่เกลี่ยหรืออยู่ระหว่างสืบพยาน ได้เข้ามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาตามโครงการเราก็จะคืนค่าขึ้นศาลเกือบทั้งหมดเเละจัดเก็บเพียงเเค่ไม่น้อยกว่า 200 บาทตามที่กฎหมายกำหนด ตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างมากเป็นการแบ่งเบาภาระ
ในเรื่องอัตรากำลังความพร้อม ตอนนี้ศาลแพ่งได้ตรวจดูระบบของการพิจารณาคดีสืบเนื่องที่มีการนัดคดีถึงปี 2567 เราจะเอาคดีที่มีการนัดต่อเนื่องไว้มาเจรจาไกล่เกลี่ย โดยจัดอัตรากำลังผู้พิพากษาเข้ามาดำเนินการไกล่เกลี่ยในช่วงเวลาปกติและช่วงเวลาวันหยุดราชการ หรือนอกเวลาราชการด้วย ในส่วนของผู้ประนีประนอมซึ่งเป็นกำลังสำคัญเราก็จัดอัตรากำลังให้พร้อมซึ่งเรามีถึง70 คน ในส่วนปริมาณคดีต้องยอมรับว่าศาลแพ่งเป็นศาลหลักในส่วนของทางเเพ่ง มีคดีที่ทุนทรัพย์สูงหลักร้อยล้านพันล้านก็มี
“การที่มีคนทำสัญญาประนีประนอมยอมความมันเป็นภาพของความสมัครใจ เราไม่ต้องตัดสินเพราะการตัดสินคดีมันมีทั้งฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะ ผลคำพิพากษาที่ดีที่สุดก็คือการเจรจา เชื่อว่าถ้าประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการงดเว้นค่าขึ้นศาล เราจะเเบ่งเบาภาระตรงนี้ให้” นายสุวิชาระบุ